ผู้สูงอายุ

กิจกรรม “Songkran Festival : สาดสุขแบบวิถีไทย ชื่นใจวันสงกรานต์”
ทั้งหมด
วัยเกษียณไม่ใช่จุดสิ้นสุด ประโยคนี้มาจาก ประสาน อิงคนันท์ ผู้ก่อตั้งเพจมนุษย์ต่างวัย ที่เชื่อว่าวัยเกษียณไม่ใช่จุดสิ้นสุด แต่เป็นการเริ่มต้นใหม่และเป็นวัยแห่งความอิสระ จากงานหรือเวลาที่มากำหนดชีวิต รวมถึงสามารถเลือกชีวิตที่เราต้องการได้ ถ้าเราเตรียมพร้อมมาอย่างดี มุมมองต่อคนสูงวัยที่กำลังจะกลายเป็นประชากรหลักของประเทศไทยในอีกไม่กี่ปีข้างหน้ายังถูกปิดกั้นด้วย ‘วยาคติ’ หรืออคติของวัยว่า ผู้สูงอายุต้องได้รับการพึ่งพาจากกลุ่มคนหนุ่มสาวเท่านั้น จากรายงาน ทัศนคติ การปฏิบัติ และตัวแบบในการส่งเสริมค่านิยมที่เกี่ยวข้องกับผู้สูงอายุในสังคมไทย 2 ทัศนคติที่มีต่อค่านิยมที่เกี่ยวกับผู้สูงอายุในสังคมไทย โดย รศ.ดร.วรรณลักษณ์ เมียนเกิด และคณะ สนับสนุนโดย สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) พบว่า ทัศนคติด้านลบที่คนวัยอื่นมีต่อผู้สูงอายุ คือ ผู้สูงอายุไม่สามารถสร้างคุณประโยชน์ให้สังคมได้ ด้วยเหตุผลที่ว่า หลายคนมองเห็นผู้สูงอายุเป็นคนล้าสมัย ไม่ทันการเปลี่ยนแปลงในสังคม แถมจู้จี้ขี้บ่นและเอาแต่ใจอีกต่างหาก แต่จริงๆ แล้วคนอายุ 50-60 ปี ไม่ใช่คนแก่ที่จะอยู่ติดบ้าน ห่อเหี่ยวไม่มีเรี่ยวแรง แต่เป็นคนเกษียณยุคใหม่ที่ยังมีพลังที่อยากจะทดลองทำสิ่งใหม่ๆ รวมถึงบางคนเพิ่งได้เริ่มทำการผจญภัยครั้งใหม่ด้วยซ้ำ เพราะชีวิตไม่ได้จบลงทันทีหลังจากเกษียณ รวมถึงสิ่งที่สำคัญที่สุดคือ ผู้สูงอายุยังคงทำงานได้ และมีศักยภาพ โดยเฉพาะงานที่ต้องใช้ประสบการณ์ หรือความน่าเชื่อถือ หนึ่งในนั้นคืออาชีพขายอาหารที่บางรสชาติก็หาที่ไหนมาแทนรสมือกันไม่ได้ ร้านตำนานเก่าแก่ต่างๆ จึงไม่ได้สะท้อนแค่เรื่องของการดำเนินธุรกิจ แต่คือการเป็นพื้นที่ให้ได้โชว์ศักยภาพ และเพิ่มพูนตัวตนว่าแม้ ‘คนจะสูงวัย’ แต่ไม่โรยรา สิ่งนี้นับเป็นส่วนหนึ่งของแนวคิดแบบพฤฒพลัง ที่มีความพยายามผลักดันให้ผู้สูงอายุยังคงมีส่วนร่วมกับสังคม เศรษฐกิจ วัฒนธรรม และภาคส่วนอื่นๆ ในสังคม เพื่อให้พวกเขามีพื้นที่ในสังคมมากยิ่งขึ้น โดยเฉพาะในช่วงเวลาที่จำนวนของผู้สูงอายุมีมากขึ้นเรื่อยๆ องค์กรทั้งหลายควรจะมีส่วนร่วมในการเปิดพื้นที่ให้ผู้สูงอายุได้ใช้ชีวิตในแบบฉบับของตัวเองได้มากขึ้น เรามัวแต่พูดกันว่า ‘คนสูงวัยกำลังไร้ค่า’ แต่ ‘ค่า’ ที่เรามองหาไม่ใช่สิ่งไหนไกลตัว แต่คุณค่านั้นอาจจะมาในรูปแบบรสมือยาย อาหารที่คุ้นเคย เจ้าของสูตรอาหารระดับตำนาน แบบที่วัดกันด้วยตัวเลขไม่ได้ แต่สามารถวัดด้วยความสุขใจในรสชาติที่คิดถึง ตอนนี้มีรสชาติที่คิดถึงไหม รสชาติข้าวผัดแบบคุณย่า รสชาติน้ำซุปก๋วยเตี๋ยวแบบอากง หรือร้านอาหารที่มีความเฉพาะตัวมากๆ ที่หาจากไหนไม่ได้แล้ว ถ้าคุณยังไม่มี เราขอแนะนำ 3 ร้านที่เจ้าของร้านอยู่ในวัยเกษียณ 60+ แต่ยังไม่หยุดมือ เพราะพวกเขาคือเจ้าเก่า แต่ยังเก๋าอยู่ พงษ์พัฒหลี (กุ๊กช็อป) รสมืออาม่า อากง ที่สั่งสมมาตั้งแต่สมัยสงครามโลก (60+) พงษ์พัฒหลี คือร้านอาหารกุ๊กช็อปที่อยู่คู่บางรักมากว่า 50 ปี ที่มีรสมืออาม่า อากง อายุ 60+ สั่งสมประสบการณ์การทำอาหารมาตั้งแต่สมัยสงครามโลก หลายรีวิวยกให้ร้านพงษ์พัฒหลีเป็นร้านของคนรักอาหารสไตล์จีนในบรรยากาศบ้านๆ ที่แม้ว่าแม่ครัว หรือพ่อครัว จะอายุอยู่ในวัยชราแล้วแต่ยังทำลงครัวทำอาหารด้วยตัวเอง นักรีวิว อาร์ทอี๊ดEARART ได้บรรยายความรู้สึกในรีวิวว่า สิ่งที่ทำให้ร้านนี้พิเศษไม่ใช่แค่อาหารเท่านั้น แต่อยู่ที่บรรยากาศการพูดคุย ต้อนรับด้วย อาเจ็กเจ้าของร้านและลูกเขยดูแลลูกค้าอย่างอบอุ่นเหมือนคนในครอบครัว ทำให้มื้ออาหารรู้สึกสบายใจทุกครั้งที่ได้มา หลายๆ ผลสำรวจพบว่าการที่มีผู้สูงอายุอยู่ในบ้าน ทำให้ครอบครัวนั้นมีความผูกพันเพิ่มมากขึ้น และผู้สูงอายุคือบุคคลที่ทรงคุณค่าในครอบครัว เพราะนอกจากจะมีความผูกพันในฐานะญาติผู้ใหญ่ที่เคารพ ยังเปรียบเสมือนศูนย์รวมจิตใจของทุกคนในบ้านให้รักใคร่กลมเกลียว เป็นความอบอุ่น เป็นที่พึ่งและที่ปรึกษาที่ดี ด้วยประสบการณ์ชีวิตที่ผ่านมา ถ้าใครที่อยู่ไกลพ่อแม่อาจจะเติมเต็มสิ่งนี้ด้วยร้านอาหารบ้านๆ ที่คุณลุง คุณป้าลงมือทำเองก็อาจจะช่วยได้ไม่น้อย กินกับอี๋ รสชาติอาหารใต้จากป้ากับผ้าถุงตัวเก่งที่ชอบคลุกอยู่ในครัว (70+) กินกับอี๋ คือร้านอาหารในจังหวัดภูเก็ตที่มีเอกลักษณ์คือ อี๋ซิ้ม (อี๋คือป้าหรือน้า) วัย 72 ปี ในชุดทำครัวโดดเด่น นุ่งกระโจมอกทำกับข้าวเหมือนเมื่อหลายสิบปีก่อน ที่นี่มีความโดดเด่นทั้งตัวแม่ครัว คืออี๋ และรสชาติอาหารพื้นบ้านสไตล์ภูเก็ต ผสมจีนแคะ คำว่าพื้นบ้านในที่นี้ เจ้าของร้านในฐานะหลานบอกว่า “เราทั้งครอบครัวโตมากับอี๋ ฝีมือทำกับข้าวของอี๋ ในบ้านจึงมีอี๋ซิ้มและอี๋ทรงที่ทำอาหารเป็น” ร้านกินกับอี๋จึงเปรียบเสมือนร้านอาหารที่เราเป็นหลานแล้วไปนั่งกินข้าวกับป้าที่มักจะใส่ผ้าถุงทำกับข้าวแบบบ้านๆ คริสตี้ เฟอร์กูสัน (Christy Fergusson) นักจิตวิทยาด้านอาหาร เคยให้สัมภาษณ์เกี่ยวกับรสชาติอาหารจากจานของแม่ ผ่าน dailymail เอาไว้ว่า การรับรู้รสชาติทางอารมณ์ของเราสามารถเพิ่มขึ้นหรือลดลงได้ด้วยเวลา ความรัก และความใส่ใจที่ทุ่มเทลงไปในมื้ออาหาร ไม่ต้องหาคำตอบว่าทำไมบางเมนูที่แม้ว่าจะหารับประทานที่ไหน หรือวัตถุดิบดีขนาดไหนก็ยังไม่ได้รสชาติถูกใจเท่ากับรสชาติที่แม่ หรือคนในครอบครัวทำ เพราะในจานนั้นๆ มักประกอบไปด้วยความรักความผูกพันที่คนในครอบครัวส่งต่อกัน ร้านอาหารสไตล์แบบรสมือแม่ทำจึงนิยมเพิ่มมากขึ้น แล้วก็ไม่ใช่แม่ที่อายุ 40-50 ด้วย แต่ต้องเป็นแม่ที่สูงวัยเท่านั้นถึงจำให้ความรู้สึกนี้ได้ ฮั้นโภชนา อาหารจีนไหหลำที่ต้องกดกริ่ง เพื่อเข้าไปกินข้าวในบ้านของลุงกับป้า (60+) ฮั้นโภชนา คือร้านอาหารที่ต้องกดกริ่งก่อนที่จะเข้าไปในร้าน (บ้าน) โดยมีลุงกับป้า เป็นเชฟส่วนตัวประจำการอยู่หน้าเตา และจะเปิดแค่ตอนเที่ยงๆ ขายไปจนถึงทุ่มครึ่งเท่านั้น ลักษณะเด่นที่สุดของร้านฮั้นโภชนา คือการที่ต้องเดินลัดเลาะไปตามซอกตึก แล้วต้องกดกริ่งที่จะมีเจ้าของร้านวัย 60+ และพ่อครัวในคนเดียวกันลงมาเปิดประตูให้เพื่อขึ้นไปที่ร้านบนห้องแถวชั้นสองขนาด 50 ตารางเมตรโดยที่ไม่มีชื่อร้าน หรือป้ายร้านบอกอย่างใด การตกแต่งร้านจะเป็นห้องแถวที่มีโต๊ะอาหารตั้งอยู่ข้างๆ ครัวเปิด บรรยากาศแบบนี้ให้ความรู้สึกเหมือนกำลังนั่งกินข้าวอยู่ที่บ้าน โดยทั้งร้านมีคนดูแลแค่สองคนคือ ลุงฮั้น เจ้าของร้านพ่อครัว และภรรยา ที่เน้นขายอาหารสไตล์กุ๊กช็อปสมัยเมื่อหลายสิบปีก่อน ฮั้นโภชนาขายอาหารแบบนี้มาหลายสิบปี และเป็นร้านที่ลุงกับป้าทำกันเองแบบช่วยกันและกัน เรามักจะเห็นข่าวคนสูงวัยถูกละทิ้งจากครอบครัว แต่อีกมุมหนึ่งก็มีคนสูงวัยกลุ่มหนึ่งที่พอใจกับการอยู่ด้วยตัวเอง โดยที่ไม่ต้องพึ่งใคร ส่วนสำคัญคือการกระตุ้นให้สังคมไทยมีศรัทธาและเชื่อในศักยภาพของผู้สูงวัยชาวไทย ที่ยังคงเก๋าเต็มไปด้วยประสบการณ์การทำงาน และมุมมองชีวิต ที่ยังคงคุณค่าและเป็นประโยชน์ต่อคนรุ่นใหม่ และนำประโยชน์ด้านนี้มาขยายให้สร้างประโยชน์ต่อสังคมมากที่สุด เพื่อให้ผู้สูงวัยอยู่ในสังคมของเราอย่างมีศักดิ์ศรี เท่าเทียม กับคนทุกเพศทุกวัย
13 Sep 68
77
Views
สำนัก 9 สสส. เปิดพื้นที่เรียนรู้ UDC-YUWA ชูความสำเร็จท้องถิ่น ปรับบ้านตามแนวคิด UD เปลี่ยนพฤติกรรมสุขภาพ เพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตผู้สูงอายุ-คนพิการ ผ่านการบูรณาการของท้องถิ่น-รัฐ-เอกชน-มหาวิทยาลัย เมื่อ 17-18 กรกฎาคม 2568 ที่ผ่านมา สสส.ร่วมกับศูนย์ออกแบบสภาพแวดล้อมเพื่อทุกคน ภูมิภาคเหนือ และเทศบาลตำบลยุหว่า อ.สันป่าตอง จ.เชียงใหม่ เปิดพื้นที่แลกเปลี่ยนรู้งานออกแบบสภาพแวดล้อมเพื่อทุกคน โดยใช้ท้องถิ่นเป็นฐานในการดำเนินงาน โดยมี ดร.นพ.พรเทพ ศิริวนารังสรรค์ ที่ปรึกษาคณะกรรมการกองทุน สสส. เเละประธานคณะกรรมการบริหารแผนคณะที่ 2 สสส. นำคณะกรรมการบริหารแผนคณะที่ 2 และคณะกรรมการกำกับทิศทางการจัดสภาพแวดล้อมและพัฒนาบริการสาธารณะตามแนวคิดการออกแบบเพื่อทุกคน เข้าร่วมแลกเปลี่ยนเรียนรู้การดำเนินงานของศูนย์ออกแบบสภาพแวดล้อมเพื่อทุกคนเครือข่ายภูมิภาคเหนือ ในพื้นที่เทศบาลตำบลยุหว่า อ.สันป่าตอง จ.เชียงใหม่ นางภรณี ภู่ประเสริฐ ผู้ช่วยผู้จัดการกองทุน สสส. และรักษาการผู้อำนวยการสำนักสนับสนุนสุขภาวะประชากรกลุ่มเฉพาะ (สำนัก 9) ได้กล่าวว่า สสส. มุ่งส่งเสริมให้เกิดการปรับสภาพแวดล้อมและจัดสิ่งอำนวยความสะดวกในสถานที่สาธารณะ ที่อยู่อาศัยคนพิการ ผู้สูงอายุ ตามแนวคิดประเด็นการออกแบบเพื่อทุกคน (Universal Design) ใน 3 ประการสำคัญ คือ (1) การสร้างกระแสการเรียนรู้ ความตระหนักของสังคมเพื่อให้เกิด UD literacy และการสื่อสารสังคมเพื่อสร้างความเข้าใจในเรื่อง UD เป็นเรื่องของคนทุกกลุ่มที่ได้รับประโยชน์ร่วม ทั้งในชุมชนท้องถิ่นและเขตเมือง (2) การสร้างสมรรถนะและเสริมพลังให้แก่หน่วยในระดับพื้นที่เพื่อพัฒนาและหนุนเสริมให้เกิดการปรับสภาพแวดล้อมและสิ่งอำนวยความสะดวกทั้งในพื้นที่สาธารณะและระดับครัวเรือน และ (3) ผลักดันให้เกิดตัวอย่างความสำเร็จในการเกิดแผนปฏิบัติการหรือเกิดการปรับปรุงสภาพแวดล้อมในเขตเมืองที่ผ่านจากกระบวนการมีส่วนร่วมของประชาชน ซึ่งที่ผ่านมา สสส. ร่วมกับ ศูนย์ออกแบบสภาพแวดล้อมเพื่อทุกคนเครือข่ายภูมิภาคเหนือ (Universal Design Center: UDC Northern) ส่งเสริมและสร้างองค์ความรู้ผ่านการจัดอบรมช่างชุมชน และการประสานความร่วมมือกับผู้มีบทบาทในการพัฒนาเมืองและผู้มีส่วนได้ส่วนเสียในชุมชนในเทศบาลเมืองน่าน จนเกิด “น่านโมเดล” เพื่อขับเคลื่อนสู่เมืองต้นแบบที่เป็นมิตรกับผู้สูงอายุและทุกคน “Age Friendly City” ภรณี กล่าวต่ออีกว่า จากความสำเร็จในเทศบาลเมืองน่าน นำมาสู่การขยายใน 6 จังหวัดในเขตภูมิภาคเหนือ ตามความสอดคล้องกับบริบทเฉพาะพื้นที่ในแต่ละจังหวัด เพื่อยกระดับการพัฒนาเมืองสู่ความยั่งยืนในทุกมิติ ทั้งมิติด้านวัฒนธรรม มิติด้านการท่องเที่ยว มิติด้านสุขภาพ ในการพัฒนาเมืองเพื่อรองรับพฤติกรรมผู้สูงอายุและคนทุกคน สอดคล้องกับนโยบาย “เมืองสุขภาพดี วิถีชุมชน คนอายุยืน” ของกระทรวงสาธารณสุข และ “เมืองที่เป็นมิตรกับทุกคน” ของสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) ผ่านความร่วมมือของศูนย์ออกแบบเพื่อทุกคน (UDC) เครือข่ายภาคเหนือ จากสถาบันอุดมศึกษา 5 แห่ง ได้แก่ (1) มหาวิทยาลัยแม่โจ้ (2) มหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงราย (3) มหาวิทยาลัยนเรศวร (4) มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ และ (5) มหาวิทยาลัยพะเยา เพื่อร่วมกันขับเคลื่อน 6 จังหวัดนำร่องสู่ “เมืองสุขภาพดี ที่เป็นมิตรกับทุกคน” ร่วมกับท้องถิ่น ผศ.ดร.วุฒิกานต์ ปุระพรหม ประธานศูนย์อออกแบบสภาพแวดล้อมเพื่อทุกคนเครือข่ายภูมิภาคเหนือ กล่าวว่า UDC YUWA เป็นความสำเร็จที่เกิดขึ้นจากความร่วมมือระหว่างศูนย์อออกแบบสภาพแวดล้อมเพื่อทุกคนเครือข่ายภูมิภาคเหนือ และเทศบาลตำบลยุหว่า อ.สันป่าตอง จ.เชียงใหม่ ซึ่งร่วมกันบูรณาการความร่วมมือจากเครือข่ายสหวิชาชีพในท้องถิ่น เพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตผู้สูงอายุและคนพิการ โดยมีศูนย์ออกแบบสภาพแวดล้อมเพื่อทุกคน มหาวิทยาลัยแม่โจ้ (UDC MJU) เป็นตัวกลางในการสร้างความร่วมมือให้เกิดขึ้น ผ่านความรู้ด้านการออกแบบและปรับสภาพบ้านในท้องถิ่น นำมาสู่ความร่วมมือของ 6 หน่วยงานในท้องถิ่น โดยบูรณาการงานร่วมกัน ดังนี้ (1) เทศบาลตำบลยุหว่า สนับสนุนงบประมาณเพื่อผลักดันโครงการพัฒนากายภาพและสภาพแวดล้อมของเมืองให้เกิดรูปธรรม (2) รพ.สันป่าตอง สนับสนุนงานประเมินสุขภาพ และส่งเสริมการเข้าถึงสิทธิการรักษา (3) รพ.สต.บ้านกิ่วแลหลวง สนับสนุนการประเมินคุณภาพชีวิตและการดูแลในระยะยาว (4) ฝ่ายปกครอง สนับสนุนช่างชุมชนในการปรับสภาพบ้าน (5) มหาวิทยาลัยแม่โจ้ สนับสนุนงานวิชาการด้านการออกแบบสภาพแวดล้อม และ (6) ศูนย์ออกแบบสภาพแวดล้อมเพื่อทุกคน มหาวิทยาลัยแม่โจ้ (UDC MJU) ส่งเสริมและเชื่อมโยงเครือข่ายการทำงานในพื้นที่โดยประสานความร่วมมือจากภาคส่วนต่าง ๆ ให้ขับเคลื่อนและดำเนินงานร่วมกัน ซึ่งความร่วมมือดังกล่าวนำมาสู่กลไกการทำงานเพื่อขับเคลื่อนคุณภาพชีวิตของผู้สูงอายุ-และคนพิการในท้องถิ่นให้มีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น โดยการดำเนินงานที่ผ่านมาศูนย์อออกแบบสภาพแวดล้อมเพื่อทุกคนเครือข่ายภูมิภาคเหนือ ได้สนับสนุนการปรับบ้านตามแนวคิดการออกแบบเพื่อทุกคนแล้วกว่า 40 หลัง ช่วยให้ผู้สูงอายุและคนพิการเคลื่อนไหวร่างกายได้ดีขึ้น ลดการพลัดตกหกล้ม สามารถช่วยเหลือตนเองได้ ลดการพึ่งพาผู้อื่น ส่งผลให้มีสุขภาพจิตที่ดีขึ้น นอกจากนี้ คณะกรรมการฯ ได้กล่าวชื่นชมการดำเนินงานของศูนย์ออกแบบสภาพแวดล้อมเพื่อทุกคนเครือข่ายภูมิภาคเหนือ พร้อมให้ข้อเสนอแนะต่อการพัฒนาการดำเนินงานสู่ความยั่งยืน ทั้งในบริบทของท้องถิ่นและศูนย์ออกแบบสภาพแวดล้อมเพื่อทุกคนเครือข่ายภูมิภาคเหนือ ในการกำหนดทิศทางการทำงานในอนาคต เพื่อให้กลไกการทำงานที่ร่วมกันพัฒนาขึ้นสามารถขับเคลื่อนได้อย่างต่อเนื่อง
22 Jul 68
526
Views
เศรษฐกิจ
“เวลาเป็นเงินเป็นทอง” เมื่อผู้เป็นแม่เอ่ยปากขอให้ลูกคนเดียวอย่าง ‘เอ็ม’ ไปดูแลแม่ของเธอ เอ็มไม่ได้มีท่าทีปฏิเสธเด็ดขาด เพียงแต่ว่าต้องมีสิ่งแลกเปลี่ยน สำหรับเอ็มมันคือค่าตอบแทนที่ควรได้รับ แลกกับเวลาที่เขาใช้ดูแล ‘อาม่า’ หลานม่า ภาพยนตร์ใหม่ล่าสุดจาก GDH 559 นำเรื่องที่เกิดขึ้นในชีวิตหลายๆ คน คือ สมาชิกครอบครัวเข้าสู่ช่วงสูงวัย ในฐานะลูกหลานจะรับมือเรื่องนี้อย่างไร เรื่องเล่าผ่านตัวละครหลักเอ็ม หลานชายคนเดียวของอาม่าเหม้งจู ที่มีลูกๆ 3 คน แม่ของเอ็มเป็นลูกสาวคนเดียว ส่วนพี่น้องอีก 2 คนเป็นลูกชาย ลูกแต่ละคนมีเส้นทางชีวิตของตัวเอง ลูกสาวอย่าง ‘สิ้ว’ รับหน้าที่ดูแลแม่เป็นหลักไปพร้อมๆ กับเลี้ยงดูลูกชายคนเดียว วนพี่ชายคนโต ‘เคี้ยง’ ก็วุ่นอยู่กับครอบครัวตัวเอง ‘โส่ย’ ลูกชายคนเล็กก็มีภาระที่ต้องดูแลเป็นหนี้ก้อนโตที่เกิดจากการเล่นพนัน ถึงชีวิตจะต่างแต่สามพี่น้องก็มีจุดร่วมเหมือนกัน คือ ไม่มีเวลามาหาแม่ วันที่ครอบครัวจะได้อยู่พร้อมหน้าพร้อมตาเลยเป็นวันสำคัญของคนไทยเชื้อสายจีน อย่างเทศกาลเช็งเม้ง วันตรุษจีน หรือวันที่แม่ตรวจพบว่าเป็นมะเร็งระยะสุดท้าย ความสัมพันธ์ระหว่างหลานชายอย่างเอ็มกับอาม่าก็ห่างไกลเช่นกัน สำหรับเอ็มอาม่าคืออาม่า ญาติคนหนึ่งที่เริ่มร่วงโรยตามวัยที่เพิ่มขึ้น ชีวิตของเอ็มเองมีสิ่งที่สนใจมากที่สุดคือการหาเงิน จนเขาได้ข่าวลูกพี่ลูกน้องคนหนึ่งรับหน้าที่ดูแลอากงป่วยติดเตียง หลังอากงเสียก็ได้มรดกก้อนใหญ่ ทำให้เอ็มได้ไอเดียหาเงิน ความสนใจเอ็มพุ่งไปที่อาม่า เขาเปลี่ยนใจขอมาดูแลอาม่าในช่วงเวลาที่เหลืออยู่ ชื่อภาษาอังกฤษของหนังเรื่องนี้เลยเป็น How To Make Millions Before Grandma Die (วิธีได้เงินจากอาม่าก่อนตาย) เนื้อหาเพียงเท่านี้ก็คงทำให้คนดูพอรู้คร่าวๆ ว่า เนื้อเรื่องตลอด 2 ชั่วโมงที่หนังฉายจะเป็นอย่างไร บทบาท ‘คนดูแล’ เป็นวัตถุดิบสำคัญที่หนังหยิบมาเล่า รายงานสถานการณ์ผู้สูงอายุไทย พ.ศ.2565 โดย กรมกิจการผู้สูงอายุ ให้ภาพรวมสถานการณ์ผู้สูงอายุทั่วโลกที่มีประมาณ 1,109 ล้านคน หรือร้อยละ 14 จากประชากรทั้งโลก 8,000 ล้านคน มีเพียงทวีปแอฟริกาทวีปเดียวที่ยังไม่เข้าสังคมสูงวัย ไทยนับเป็นอันดับสองที่มีประชากรสูงวัยมากที่สูงในอาเซียน 13 ล้านคน หรือร้อยละ 19 ของประชากรทั้งหมด 66 ล้านคน ทำให้ไทยเข้าสู่สังคมสูงวัยสมบูรณ์ (Aging Society) ชีวิตของประชากรสูงวัยไทยส่วนใหญ่ยังคงทำงานเพื่อให้มีรายได้ แต่งานที่ทำได้มักเป็นงานนอกระบบ ทำให้การคุ้มครองหรือค่าตอบแทนมีอัตราต่ำ ขณะที่สวัสดิการจากภาครัฐอย่างเบี้ยยังชีพ ก็นับเป็นแหล่งรายได้สำคัญ ตัวเลขปี 2565 มีจำนวนคนที่รับเบี้ยยังชีพ 10,913,245 คน คิดเป็นเงิน 82,341 ล้านบาท นอกจากนี้ รายงานยังพบว่า สถานการณ์การออมของผู้สูงวัย มีร้อยละ 54 ของผู้สูงวัยที่ออมเงิน ขณะที่คนอื่นๆ ไม่มีเงินออม แล้วต้องแบกรับภาระหนี้สินทั้งของตัวเอง และครอบครัว ผู้สูงวัยในหนังถูกแบ่งเป็น 2 กลุ่มใหญ่ๆ คือ กลุ่มที่อยู่เพียงลำพัง ใช้ชีวิตโดยปราศจากสมาชิกครอบครัวคนอื่นๆ ส่วนอีกกลุ่มกลับห้อมล้อมด้วยครอบครัว ความเป็นอยู่ก็ดีกว่า เหตุผลที่คนสองกลุ่มนี้มีวิถีชีวิตแตกต่างกันอยู่ที่ปัจจัยทางทุนทรัพย์ เมื่อลูกหลานมีทุนกำลังมากพอ ก็จะมีเวลามากตามไปด้วยที่จะดูแลผู้สูงวัย จ้างคนดูแลที่เชี่ยวชาญมาแบ่งเบางาน หรือซื้อเครื่องอำนวยความสะดวกทำให้การอยู่กับผู้สูงวัยไม่ใช่เรื่องยาก ขณะเดียวกันหนังก็พยายามสื่อสารว่า ความต้องการของคนสูงวัยไม่ได้ยิ่งใหญ่ เพียงต้องการ ‘เวลา’ จากลูกหลาน ถ้าใครที่ให้เวลาพวกเขาได้ โดยเฉพาะในช่วงนับถอยหลังชีวิต พวกเขาก็จะรักและมอบทุกอย่างให้ ทำให้ผู้สูงอายุเป็นเป้าหมายของเหล่าหลานๆ ที่อยากมาดูแลเพื่อได้ผลประโยชน์ การละทิ้ง หรืออยู่ห่างไกลจากญาติสูงวัยคงไม่ใช่สิ่งที่ทุกคนอยากทำ แต่เพราะปัจจัยหลายๆ อย่าง โดยเฉพาะการดูแลคนสูงวัยถือเป็นงานหิน ตั้งแต่การดูแลทางกายภาพอย่างอาบน้ำ ดูแลความสะอาด กินข้าว ฯลฯ ถ้าคนไหนมีโรคประจำตัวหรือเป็นผู้ป่วยติดเตียงก็เพิ่มความยากเข้าไปอีก แต่หนังไม่ได้ทำให้คนดูรู้สึกกลัว ขยาดไม่อยากเจอ แต่ทำให้เรารู้สึกว่า เป็นเรื่องธรรมดาๆ ไม่ได้ยากจนทำไม่ได้ แม้แต่เอ็มที่เพิ่งเริ่มมาดูแลอาม่าก็สามารถทำงานนี้ได้ดี แต่สิ่งที่คนดูแลต้องรับมือและใหญ่กว่า คือ เรื่องจิตใจ ถึงมีประโยคที่ว่าคนสูงวัยก็คือเด็กในร่างผู้ใหญ่ พวกเขาจะเริ่มเอาแต่ใจตัวเอง พฤติกรรมที่ชวนตั้งคำถาม บางรายมีอาการหลงลืม อาม่าของเอ็มไม่ได้มีปัญหาจิตใจมากนัก เพียงแต่ความเหงาที่ไม่มีครอบครัวมาอยู่ใกล้ๆ การมีเอ็มเข้ามาในชีวิตก็ทำให้อาม่ามีความสุขเพิ่งขึ้น เอ็มทุ่มเทดูแลอาม่าเพราะเขามีเป้าหมายสำคัญต้องการเป็นคนโปรดและได้รับมรดกที่อาม่าทิ้งไว้ให้ ทำให้เขาทุ่มเทเวลาทั้งหมดไปกับการดูแลอาม่า เป็นปัญหาสำหรับคนดูแลบางคนรู้สึกว่า เขาไม่ได้ใช้ชีวิตของตัวเอง “แม่เราต้องดูแลคุณยายที่เป็นผู้ป่วยติดเตียง จะไปไหนก็ไม่ได้เลย ถามว่าเครียดไหม…เครียดสิ เพราะเขาต้องดูแลคนนี้ตลอดเวลา ชีวิตไม่ได้ออกไปไหน ทำให้บางครั้งมีการใส่อารมณ์กันบ้างระหว่างผู้ดูแลกับคนในความดูแล “ถามว่าเขาโกรธกันไหม ก็ไม่โกรธหรอก แต่ว่ามันมีอาการหลุด มีเรื่อง Burnout เราก็เข้าใจนะ แต่ว่าจะหาทางออกยังไง ถ้าคนที่หาทางออกไม่ได้ เราก็จะเห็นตามข่าว เช่น ตบตีคนแก่” เรณู ภาวะดี นักกายภาพบำบัดชำนาญการ โรงพยาบาลสิรินธร จังหวัดขอนแก่น เห็นสถานการณ์นี้บ่อยครั้ง ทั้งญาติคนไข้ที่เธอรักษาและครอบครัวของตัวเอง ภาพแม่ดูแลยายที่เป็นผู้ป่วยติดเตียง จนไม่มีเวลาใช้ชีวิตของตัวเอง ธุรกิจให้บริการผู้ดูแลผู้สูงอายุค่อยๆ เติบโตในไทย บริบทสังคมที่เรากลายเป็นสังคมผู้สูงวัยเต็มตัว แม้จะเคยมีมุมมองว่า การจ้างคนอื่นมาดูแลพ่อแม่ หรือพาไปอยู่บ้านพักคนชราเป็นเรื่องที่ยอมรับไม่ได้ หรือแสดงถึงความ ‘อกตัญญู’ ในมุมเจนวิทย์ วิโสจสงคราม รองผู้อำนวยการมูลนิธิพัฒนางานผู้สูงอายุและผู้ก่อตั้งบั๊ดดี้โฮมแคร์ (Buddy HomeCare) ธุรกิจให้บริการคนดูแลผู้สูงอายุตั้งอยู่ที่จังหวัดเชียงใหม่ โดยมีสำนักสนับสนุนสุขภาวะประชากรกลุ่มเฉพาะ (สำนัก 9) สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) ให้การสนับสนุน งานนี้ จะช่วยลดการตีตราลูกหลานที่ไม่สามารถดูแลพ่อแม่สูงวัยได้เต็มที่ ให้บริการผู้ดูแลผู้สูงอายุโดยมืออาชีพ โดยเริ่มให้บริการในจังหวัดเชียงใหม่ซึ่งเป็นพื้นที่นำร่อง...
04 Apr 67
1,473
Views
สิ่งหนึ่งที่ใครก็หนีไม่พ้น คือ อายุที่เปลี่ยนไป สักวันหนึ่งเราก็จะอายุมากขึ้นเรื่อยๆ แก่ตัวเหมือนกับคุณพ่อคุณแม่ คุณปู่คุณย่า ที่อาจจะไม่ได้กระฉับกระเฉงเท่าตอนหนุ่มสาวเราเคยลองจินตนาการไหมว่า แก่ตัวไปเราจะเป็นแบบไหน? ปี 2565 สัดส่วนผู้สูงอายุของไทยเพิ่มประมาณร้อยละ 20 ของประชากรทั้งหมด ไทยเข้าสังคมสูงอายุอย่างสมบูรณ์เป็นที่เรียบร้อย ทำให้รัฐ หน่วยงานอื่นๆ และสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) ให้ความสำคัญการเปลี่ยนแปลงครั้งนี้และพยายามออกแบบนโยบายสังคมเพื่อให้เหมาะสมกับพวกเขามากที่สุด คุณภาพชีวิตของผู้สูงอายุเป็นเรื่องที่ทั้งรัฐ ลูก และคนสูงวัยเองต่างก็มีส่วนร่วมในการสร้างสิ่งนี้ให้เกิดขึ้น การจะรู้ว่าพวกเขามีคุณภาพชีวิตที่ดีหรือไม่ สามารถใช้เครื่องวัดได้หลากหลายแบบ อีกหนึ่งเครื่องมือวัดคุณภาพชีวิตโดยองค์การอนามัยโลก (WHO Quality of Life: WHOQOL) ระบุว่า คุณภาพชีวิตที่ดีของผู้สูงอายุขึ้นอยู่กับประเด็น 6 ข้อ ได้แก่ ความสามารถในการพึ่งพาตัวเอง (Autonomy), การรับรู้ตามประสาทสัมผัส (Sensory Abilities), การยอมรับความตายและกระบวนการการตาย (Death and Dying), มุมมองต่ออดีต ปัจจุบัน และอนาคต (Pas, Present, and Future Activities), ความสัมพันธ์กับคนใกล้ชิด (Intimacy), และ การมีส่วนร่วมในสังคม (Social Participation) เมื่อทั้ง 6 ข้อนี้ออกมาดีอาจหมายถึงคุณภาพชีวิตที่ดีด้วย สำหรับ รศ.ดร.นพพล วิทย์วรพงศ์ อาจารย์ประจำคณะเศรษฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย คุณภาพชีวิตและความสุขเป็นเรื่องที่เชื่อมโยงกัน เมื่อมีคุณภาพชีวิตที่ดีก็ย่อมมีความสุข และความสุขก็เกิดมาจากการมีคุณภาพชีวิตที่ดี ฉะนั้น ถ้าหากจะดูว่าทุกวันนี้ผู้สูงอายุมีคุณภาพชีวิตที่ดีหรือยัง เราอาจมองผ่านความสุขได้ ‘ความสุข’ เรื่องที่ฟังดูธรรมดา เกิดขึ้นได้ง่ายและยากสลับกันไป ขึ้นอยู่ว่าแต่ละคนมองความสุขของตัวเองว่าเป็นแบบไหน ถ้าเป็นไปได้แม้แต่เราเองก็อยากมีความสุขไปทุกช่วงเวลาตั้งแต่เกิดจนตาย แต่เงื่อนไขในชีวิตบางอย่างอาจจะทำให้เราไม่ได้เข้าถึงความสุขได้ง่ายขนาดนั้น ยิ่งในวัยที่เปลี่ยนไป ความสามารถที่จะเข้าถึงสุขอาจไม่ได้มีเท่าสมัยก่อน สมมติถ้าความสุขเมื่อครั้งยังหนุ่มคือการได้เล่นกีฬา สังสรรค์กับเพื่อน ออกไปดูหนังรอบดึก แต่ในวัย 80 ที่ร่างกายเปลี่ยนไปตามเวลา แม้จะเป็นความสุขเดียวกับวัยหนุ่มแต่เราไม่สามารถออกไปใช้ชีวิตได้เต็มที่อีกแล้ว แล้วเราจะเตรียมตัวอะไรได้บ้างเพื่อให้ตัวเองมีความสุขไม่ต่างจากวัยหนุ่มอีกครั้ง จะดีกว่าไหมถ้าเราเตรียมตัวเพื่อเป็นผู้สูงวัยที่มีความสุขไว้ตั้งแต่ในวันที่ร่างกายยังไหว วันนี้ รศ.ดร. นพพล วิทย์วรพงศ์ ขอเป็นคนแชร์เรื่องราวจากงานวิจัยความสุขของผู้สูงวัยในไทย ที่จะทำให้เรารู้ว่า การเป็นผู้สูงวัยไม่ใช่เรื่องไกลตัวอย่างที่เราเข้าใจ พร้อมกับสะท้อนให้เห็นสถานการณ์ของผู้สูงวัยในปัจจุบัน ทำไมถึงเลือกศึกษาความสุขของผู้สูงอายุ เวลาพูดเรื่องความสุข คนมักไม่ได้มองว่าสำคัญมากในบริบทสังคมไทย เพราะมันมีเรื่องที่ต้องคิดก่อนเรื่องความสุขเยอะ มีคนตั้งคำถามว่า ประเทศไทยในตอนนี้จำเป็นต้องคิดเรื่องความสุขของประชาชนเลยหรือไม่ เพราะหลายคนปากท้องยังไม่ดีอยู่เลย แต่เราคิดว่า มันสามารถดูทุกอย่างไปพร้อมกันได้ ทั้งคุณภาพชีวิตและศึกษาความสุขไปได้ด้วย เพราะในการศึกษาความสุขของประชากร มันก็สะท้อนให้เห็นหลายเรื่อง เช่น ปัจจัยอะไรที่ทำให้เกิดความสุขบ้าง มันสัมพันธ์กับการมีคุณภาพชีวิตที่ดีได้ด้วย เราสามารถนำปัจจัยที่ศึกษามานำเสนอ อาจจะช่วยการคิดนโยบายของรัฐบาล หรือคำแนะนำสำหรับคนทั่วไปเพื่อเตรียมตัว แล้วความสุขของผู้สูงวัยในประเทศไทยคืออะไร ขอตอบเป็นปัจจัยที่ทำให้เกิดความสุข มันมีองค์ประกอบ 3 อย่าง หนึ่ง – สุขภาพ ผู้สูงวัยก็มีความสามารถที่จะดูแลตัวเองได้ ลุกเดินได้อย่างสะดวก เมื่อสุขภาพดีก็จะสามารถทำให้มีความสุขได้ ซึ่งสุขภาพแบ่งออกเป็น 2 รูปแบบ คือ Physical health สุขภาพทางกาย หมายถึง การที่เรามันไม่มีโรค หรือมีโรคแต่เราจัดการกับมันได้ และ Functional health สุขภาพขั้นพื้นฐาน คือ ความสามารถในการดูแลตัวเอง การเคลื่อนไหว เช่น หยิบจับของเองได้ สอง – ปัจจัยที่เกี่ยวข้องกับเงิน เพราะว่าไม่มีเงิน ก็ยากที่จะมีความสุข และสาม – การมีส่วนร่วมกับสังคม เช่น การมีเพื่อน ได้ออกไปใช้ชีวิตข้างนอก ปัจจัยที่ทำให้ผู้สูงอายุมีความสุข เหมือน หรือแตกต่างจากวัยอื่นๆ ไหม ปกติมีความคล้ายคลึงกัน ปัจจัยการเกิดความสุขในแต่ละวัย แต่ภาวะของผู้สูงอายุต่างจากคนวัยอื่นๆ เพราะว่าผู้สูงอายุอยู่ในสภาวะที่ค่อนข้างเปราะบาง บางคนไม่มีแรงที่จะทํางานได้แล้ว ก็อาจจะมีปัญหาเรื่องเงิน หรือไม่สามารถเดินทางไปไหนมาไหนได้สะดวก การเข้าร่วมสังคมก็อาจมีปัญหา เรามองว่าสิ่งที่ทำให้แตกต่างกันระหว่างวัย คือ ความสามารถในการได้มาซึ่งปัจจัยนั้น เช่น ผู้สูงอายุก็อาจจะมีความต้องการในเรื่องของจิตใจ การดูแลจิตใจที่มันมากขึ้นกว่าคนวัยทํางาน เพราะว่าผู้สูงอายุมีโอกาสเกิดภาวะที่เหงามากกว่าคนวัยทํางาน ผู้สูงอายุ 1 ใน 10 คน มีภาวะความเหงา และความเหงาเป็นแหล่งเกิดความทุกข์ได้ ที่สำคัญเลย ความเปราะบางอันนี้สะท้อนให้เห็นว่าความสุขผู้สูงอายุมีความสําคัญ เพราะความสุขผู้สูงอายุในปัจจุบัน ที่จริงแล้วมันสะท้อนถึงความสุขของคนในวัยทํางานในปัจจุบันด้วยนะ เพราะคนวัยทํางานในปัจจุบันก็คือผู้สูงอายุในอนาคตอยู่ดี ‘สำหรับคนสูงวัย แค่มีลูกหลานอยู่พร้อมหน้าก็สุขใจแล้ว’ อาจารย์คิดเห็นอย่างไรกับประโยคนี้ จากการศึกษาเราพบว่า การมีลูกทําให้ทั้งสุขภาพ เงิน และการมีส่วนร่วมในสังคมเพิ่มขึ้นได้ แปลว่าผู้สูงอายุที่มีลูก มีแนวโน้มที่จะมีสุขภาพดีกว่า มีเงินมากกว่า และมีส่วนร่วมในสังคมมากกว่าคนที่ไม่มีลูก เราจะเห็นได้ว่า การมีลูกเป็นเงื่อนไขของการมีความสุขของผู้สูงอายุในประเทศ ณ ปัจจุบัน เพราะว่าลูกส่งผลต่อทุกปัจจัยที่ทําให้เกิดความสุขได้ แต่ความสุขนี้ไม่ได้มาจากตัวผู้สูงอายุเอง การมีลูกดันเป็นเงื่อนไขของความสุข มันก็สะท้อนให้เห็นว่า สังคมไทยผู้สูงอายุเปราะบางมาก เพราะว่าต้องพึ่งพาบุตรหลานอย่างมาก โดยเฉพาะในสภาวะที่สังคมต่อไปคนจะมีลูกน้อยลงเรื่อยๆ หนึ่งในปัจจัยความสุขของผู้สูงวัยไทยมาจากการมีลูก สิ่งนี้กำลังจะบอกอะไรเรา มันมีความไม่แน่นอนค่อนข้างเยอะ เพราะคนอาจจะเลือกไม่มีลูกก็ได้ หรือเรารู้ได้ยังไงว่า การมีลูกมันจะช่วยจริงๆ วันหนึ่งเขาอาจจะช่วยได้ แต่อีกวันเขาอาจจะช่วยไม่ได้แล้ว เพราะฉะนั้น เราเลยอยากให้คนที่กําลังจะเป็นผู้สูงอายุต้องเตรียมตัวเรื่องนี้ เพื่อให้ตัวเองมีความสุขได้เองมากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ โดยไม่ต้องพึ่งพาจากบุตรหลานหรือใคร...
19 Feb 67
2,695
Views
มนุษย์ต่างวัยและสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) ชวนผู้ที่สนใจและกำลังมองหาโอกาสใหม่ ๆ ทางธุรกิจ ในการสร้างสินค้าและบริการเพื่อรองรับสังคมสูงวัยร่วมเรียนรู้หลักการเริ่มต้นธุรกิจ ในหัวข้อ “ปั้นธุรกิจ (เพื่อรองรับสังคมสูงวัย) ให้กลายเป็นจริง” . เมื่อการมาถึงของสังคมสูงวัย ทำให้หลายคนสนใจที่จะสร้างสรรค์สินค้า บริการ และนวัตกรรมต่าง ๆ เพื่อสร้างคุณภาพชีวิตที่ดีให้กับผู้สูงวัยในปัจจุบัน และรองรับกลุ่มที่กำลังจะเป็นผู้สูงวัยในวันข้างหน้าที่จะมีมากถึง 20 เปอร์เซนต์ของจำนวนประชากร แต่การทำธุรกิจกับลูกค้ากลุ่มนี้ไม่ใช่เรื่องง่าย และมักจะถูกตั้งคำถามว่าธุรกิจที่ตอบโจทย์สังคมสูงวัยนี้จะไปรอดได้ไหม และมีโอกาสเติบโตอย่างยั่งยืนได้อย่างไร . หากคุณคือคนหนึ่งที่กำลังมองหาโอกาสของการทำธุรกิจเพื่อคนรุ่นใหญ่ พลาดไม่ได้กับ ห้องเรียน #ชีวิตซีซัน2 วิชาที่ 4 ในหัวข้อ “ปั้นธุรกิจ (เพื่อรองรับสังคมสูงวัย) ให้กลายเป็นจริง” . เปิดรับสมัครแล้ว! ชีวิต ซีซัน 2 I วิชา ปั้นธุรกิจ (เพื่อรองรับสังคมสูงวัย) ให้กลายเป็นจริง วิทยากร : คุณศานิตย์ ภู่บุบผา Founder & Lead Catalyst Wisdom Works Consultancy & Services Co. Ltd. ผู้เชี่ยวชาญการบ่มเพาะธุรกิจสตาร์ตอัปและนวัตกรรมองค์กร ด้วยประสบการณ์ยาวนานในองค์กรธุรกิจชั้นนำของประเทศ . | จบคลาสแล้วจะได้อะไร – เข้าใจหลักการทำธุรกิจเบื้องต้น – รู้จักการตั้งคำถามและทำความเข้าใจถึงความต้องการภายในของกลุ่มลูกค้า – รู้วิธีมองหา Pain Point ของกลุ่มลูกค้า – วิเคราะห์ข้อมูลที่ได้เพื่อนำไปสู่การออกแบบสินค้าและบริการของกลุ่มสูงวัย – เข้าใจหลักการทำธุรกิจให้ยั่งยืน – ประเมินความเสี่ยงของการทำธุรกิจได้ รู้ว่าเมื่อไรควรหยุดหรือไปต่อ เพื่อให้ธุรกิจเติบโต – ได้พบเพื่อนใหม่ ๆ และคอมมูนิตี้สำหรับคนวัย 50+ ที่ยังแอคทีฟ และอยากเรียนรู้เรื่องราวใหม่ ๆ ไปด้วยกัน . | สมัครเลย หากคุณมีคุณสมบัติดังนี้ – สนใจการทำธุรกิจที่เกี่ยวกับสินค้าหรือบริการ เพื่อตอบโจทย์สังคมสูงวัย – มองหาโอกาสและความเป็นไปได้ใหม่ ๆ ในการใช้ชีวิตหลังเกษียณ – มีความมุ่งมั่นและพร้อมที่จะพัฒนาตนเอง – สามารถเข้าร่วมกิจกรรมได้ตลอดทั้งวัน . รอบกิจกรรม วันอาทิตย์ที่ 14 มกราคม 2567 เวลา 13.00 – 17.00 น. . สถานที่ : สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) ซอยงามดูพลี กรุงเทพฯ . ใครสนใจกด สมัครเข้าร่วมกิจกรรม ได้เลย . ***รับจำนวนจำกัด 30 ท่าน / สมัครฟรี ไม่มีค่าใช้จ่าย*** . แจ้งผลภายในวันที่ 25 ธันวาคม 2566 (ติดต่อกลับเฉพาะผู้ผ่านการคัดเลือกเท่านั้น) โดยทีมงานจะติดต่อกลับเพื่อแจ้งผลผ่านทางอีเมลและเบอร์ติดต่อที่ท่านได้แจ้งไว้ . สอบถามข้อมูลเพิ่มเติม คุณน้ำหวาน 0654923663 … #สสส #วัยนี้วัยดี #ชีวิตดีดีสร้างได้ทุกวัย #manoottangwai #มนุษย์ต่างวัย #ชีวิตซีซัน2 #ออกแบบชีวิตหลังเกษียณ #คอร์สอบรมอาชีพ #ห้องเรียนอาชีพ #อาชีพหลังเกษียณ #ชีวิตหลังเกษียณ #สังคมสูงวัย
16 Dec 66
679
Views
สภาวะเเวดล้อม
สำนัก 9 สสส. เปิดพื้นที่เรียนรู้ UDC-YUWA ชูความสำเร็จท้องถิ่น ปรับบ้านตามแนวคิด UD เปลี่ยนพฤติกรรมสุขภาพ เพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตผู้สูงอายุ-คนพิการ ผ่านการบูรณาการของท้องถิ่น-รัฐ-เอกชน-มหาวิทยาลัย เมื่อ 17-18 กรกฎาคม 2568 ที่ผ่านมา สสส.ร่วมกับศูนย์ออกแบบสภาพแวดล้อมเพื่อทุกคน ภูมิภาคเหนือ และเทศบาลตำบลยุหว่า อ.สันป่าตอง จ.เชียงใหม่ เปิดพื้นที่แลกเปลี่ยนรู้งานออกแบบสภาพแวดล้อมเพื่อทุกคน โดยใช้ท้องถิ่นเป็นฐานในการดำเนินงาน โดยมี ดร.นพ.พรเทพ ศิริวนารังสรรค์ ที่ปรึกษาคณะกรรมการกองทุน สสส. เเละประธานคณะกรรมการบริหารแผนคณะที่ 2 สสส. นำคณะกรรมการบริหารแผนคณะที่ 2 และคณะกรรมการกำกับทิศทางการจัดสภาพแวดล้อมและพัฒนาบริการสาธารณะตามแนวคิดการออกแบบเพื่อทุกคน เข้าร่วมแลกเปลี่ยนเรียนรู้การดำเนินงานของศูนย์ออกแบบสภาพแวดล้อมเพื่อทุกคนเครือข่ายภูมิภาคเหนือ ในพื้นที่เทศบาลตำบลยุหว่า อ.สันป่าตอง จ.เชียงใหม่ นางภรณี ภู่ประเสริฐ ผู้ช่วยผู้จัดการกองทุน สสส. และรักษาการผู้อำนวยการสำนักสนับสนุนสุขภาวะประชากรกลุ่มเฉพาะ (สำนัก 9) ได้กล่าวว่า สสส. มุ่งส่งเสริมให้เกิดการปรับสภาพแวดล้อมและจัดสิ่งอำนวยความสะดวกในสถานที่สาธารณะ ที่อยู่อาศัยคนพิการ ผู้สูงอายุ ตามแนวคิดประเด็นการออกแบบเพื่อทุกคน (Universal Design) ใน 3 ประการสำคัญ คือ (1) การสร้างกระแสการเรียนรู้ ความตระหนักของสังคมเพื่อให้เกิด UD literacy และการสื่อสารสังคมเพื่อสร้างความเข้าใจในเรื่อง UD เป็นเรื่องของคนทุกกลุ่มที่ได้รับประโยชน์ร่วม ทั้งในชุมชนท้องถิ่นและเขตเมือง (2) การสร้างสมรรถนะและเสริมพลังให้แก่หน่วยในระดับพื้นที่เพื่อพัฒนาและหนุนเสริมให้เกิดการปรับสภาพแวดล้อมและสิ่งอำนวยความสะดวกทั้งในพื้นที่สาธารณะและระดับครัวเรือน และ (3) ผลักดันให้เกิดตัวอย่างความสำเร็จในการเกิดแผนปฏิบัติการหรือเกิดการปรับปรุงสภาพแวดล้อมในเขตเมืองที่ผ่านจากกระบวนการมีส่วนร่วมของประชาชน ซึ่งที่ผ่านมา สสส. ร่วมกับ ศูนย์ออกแบบสภาพแวดล้อมเพื่อทุกคนเครือข่ายภูมิภาคเหนือ (Universal Design Center: UDC Northern) ส่งเสริมและสร้างองค์ความรู้ผ่านการจัดอบรมช่างชุมชน และการประสานความร่วมมือกับผู้มีบทบาทในการพัฒนาเมืองและผู้มีส่วนได้ส่วนเสียในชุมชนในเทศบาลเมืองน่าน จนเกิด “น่านโมเดล” เพื่อขับเคลื่อนสู่เมืองต้นแบบที่เป็นมิตรกับผู้สูงอายุและทุกคน “Age Friendly City” ภรณี กล่าวต่ออีกว่า จากความสำเร็จในเทศบาลเมืองน่าน นำมาสู่การขยายใน 6 จังหวัดในเขตภูมิภาคเหนือ ตามความสอดคล้องกับบริบทเฉพาะพื้นที่ในแต่ละจังหวัด เพื่อยกระดับการพัฒนาเมืองสู่ความยั่งยืนในทุกมิติ ทั้งมิติด้านวัฒนธรรม มิติด้านการท่องเที่ยว มิติด้านสุขภาพ ในการพัฒนาเมืองเพื่อรองรับพฤติกรรมผู้สูงอายุและคนทุกคน สอดคล้องกับนโยบาย “เมืองสุขภาพดี วิถีชุมชน คนอายุยืน” ของกระทรวงสาธารณสุข และ “เมืองที่เป็นมิตรกับทุกคน” ของสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) ผ่านความร่วมมือของศูนย์ออกแบบเพื่อทุกคน (UDC) เครือข่ายภาคเหนือ จากสถาบันอุดมศึกษา 5 แห่ง ได้แก่ (1) มหาวิทยาลัยแม่โจ้ (2) มหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงราย (3) มหาวิทยาลัยนเรศวร (4) มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ และ (5) มหาวิทยาลัยพะเยา เพื่อร่วมกันขับเคลื่อน 6 จังหวัดนำร่องสู่ “เมืองสุขภาพดี ที่เป็นมิตรกับทุกคน” ร่วมกับท้องถิ่น ผศ.ดร.วุฒิกานต์ ปุระพรหม ประธานศูนย์อออกแบบสภาพแวดล้อมเพื่อทุกคนเครือข่ายภูมิภาคเหนือ กล่าวว่า UDC YUWA เป็นความสำเร็จที่เกิดขึ้นจากความร่วมมือระหว่างศูนย์อออกแบบสภาพแวดล้อมเพื่อทุกคนเครือข่ายภูมิภาคเหนือ และเทศบาลตำบลยุหว่า อ.สันป่าตอง จ.เชียงใหม่ ซึ่งร่วมกันบูรณาการความร่วมมือจากเครือข่ายสหวิชาชีพในท้องถิ่น เพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตผู้สูงอายุและคนพิการ โดยมีศูนย์ออกแบบสภาพแวดล้อมเพื่อทุกคน มหาวิทยาลัยแม่โจ้ (UDC MJU) เป็นตัวกลางในการสร้างความร่วมมือให้เกิดขึ้น ผ่านความรู้ด้านการออกแบบและปรับสภาพบ้านในท้องถิ่น นำมาสู่ความร่วมมือของ 6 หน่วยงานในท้องถิ่น โดยบูรณาการงานร่วมกัน ดังนี้ (1) เทศบาลตำบลยุหว่า สนับสนุนงบประมาณเพื่อผลักดันโครงการพัฒนากายภาพและสภาพแวดล้อมของเมืองให้เกิดรูปธรรม (2) รพ.สันป่าตอง สนับสนุนงานประเมินสุขภาพ และส่งเสริมการเข้าถึงสิทธิการรักษา (3) รพ.สต.บ้านกิ่วแลหลวง สนับสนุนการประเมินคุณภาพชีวิตและการดูแลในระยะยาว (4) ฝ่ายปกครอง สนับสนุนช่างชุมชนในการปรับสภาพบ้าน (5) มหาวิทยาลัยแม่โจ้ สนับสนุนงานวิชาการด้านการออกแบบสภาพแวดล้อม และ (6) ศูนย์ออกแบบสภาพแวดล้อมเพื่อทุกคน มหาวิทยาลัยแม่โจ้ (UDC MJU) ส่งเสริมและเชื่อมโยงเครือข่ายการทำงานในพื้นที่โดยประสานความร่วมมือจากภาคส่วนต่าง ๆ ให้ขับเคลื่อนและดำเนินงานร่วมกัน ซึ่งความร่วมมือดังกล่าวนำมาสู่กลไกการทำงานเพื่อขับเคลื่อนคุณภาพชีวิตของผู้สูงอายุ-และคนพิการในท้องถิ่นให้มีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น โดยการดำเนินงานที่ผ่านมาศูนย์อออกแบบสภาพแวดล้อมเพื่อทุกคนเครือข่ายภูมิภาคเหนือ ได้สนับสนุนการปรับบ้านตามแนวคิดการออกแบบเพื่อทุกคนแล้วกว่า 40 หลัง ช่วยให้ผู้สูงอายุและคนพิการเคลื่อนไหวร่างกายได้ดีขึ้น ลดการพลัดตกหกล้ม สามารถช่วยเหลือตนเองได้ ลดการพึ่งพาผู้อื่น ส่งผลให้มีสุขภาพจิตที่ดีขึ้น นอกจากนี้ คณะกรรมการฯ ได้กล่าวชื่นชมการดำเนินงานของศูนย์ออกแบบสภาพแวดล้อมเพื่อทุกคนเครือข่ายภูมิภาคเหนือ พร้อมให้ข้อเสนอแนะต่อการพัฒนาการดำเนินงานสู่ความยั่งยืน ทั้งในบริบทของท้องถิ่นและศูนย์ออกแบบสภาพแวดล้อมเพื่อทุกคนเครือข่ายภูมิภาคเหนือ ในการกำหนดทิศทางการทำงานในอนาคต เพื่อให้กลไกการทำงานที่ร่วมกันพัฒนาขึ้นสามารถขับเคลื่อนได้อย่างต่อเนื่อง
22 Jul 68
526
Views
เชื่อว่าหลายๆ คนในช่วงนี้หลีกเลี่ยงที่จะออกจากบ้านตอนกลางวันหรือตอนบ่ายๆ เพราะอากาศที่ร้อนระอุจนแทบจะทนไม่ไหว เดินไปทางไหนก็หลบแดดจ้าและอากาศที่มีแต่ไอร้อนไม่พ้น แต่ถึงอย่างนั้น เราก็ต่างมีวิธีแก้ร้อนในแบบของตัวเอง บางคนยอมเปิดแอร์ตั้งแต่เที่ยงยันเย็น บางคนไปเดินเล่นในห้างเพื่อคลายร้อน การดับร้อนของบางคนมันง่ายนิดเดียว แต่อีกหลายคน เขาต้องทนทั้งอากาศร้อน และความ ‘เดือดร้อน’ อื่นๆ ที่ตามมาอีกด้วย “ทุกคนเจอความร้อนเหมือนกัน แต่รับอิทธิพลจากความร้อนไม่เท่ากัน” ‘รองศาสตราจารย์ ดร.รัตติยา ภูละออ’ วิทยาลัยประชากรศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กล่าวภายในงาน Voice of the voiceless เสียงที่คนอื่นไม่ได้ยิน : ประชากรกลุ่มเฉพาะ ครั้งที่ 3 ภายใต้หัวข้อ ถอดบทเรียนและองค์ความรู้สู่ How To จัดการกับความเหลื่อมล้ำทางสุขภาพ เมื่อวันที่ 18 มิถุนายน 2568 ที่ผ่านมา ‘การเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศ’ คือต้นเหตุของความร้อนที่ทุกคนกำลังเจออยู่ คำนี้หมายถึงการที่อุณหภูมิและสภาพอากาศในแต่ละฤดูกาลมีการเปลี่ยนแปลงไปจากเดิมในระยะยาว โดยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศจะค่อยๆ เกิดขึ้นอย่างช้าๆ ซึ่งส่งผลให้เกิดภัยพิบัติทางธรรมชาติมากมาย ไม่ว่าจะเป็น น้ำท่วม แผ่นดินไหว เป็นต้น ความร้อนเป็นเหมือนภัยพื้นฐานที่ทุกคนเจอ แต่สำหรับประชากรกลุ่มเฉพาะ พวกเขาต้องอยู่ในสถานการณ์เปราะบางจากการเผชิญการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศ ที่ทำให้พวกเขาใช้ชีวิตยากกว่าเดิมหลายเท่า เช่น คนพิการที่ไม่สามารถอพยพไปไหนได้ในตอนที่เจอกับน้ำป่าไหลหลาก หรือคนไร้บ้านที่ต้องทนกับความร้อนที่มากกว่าเดิมซึ่งเสี่ยงต่อการเกิดโรคที่มาจากความร้อน เพื่อทำให้เห็นภาพยิ่งขึ้น อาจารย์รัตติยาได้ยกตัวอย่างสถานการณ์ที่กลุ่มประชากรเฉพาะต้องพบเจอจากปัญหาการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศ ซึ่งอาจเป็นสถานการณ์ที่หลายคนคาดไม่ถึง คนพิการ หลายครั้งที่มีเหตุการณ์น้ำท่วม น้ำป่าไหลหลาก พายุ หรือภัยพิบัติทางธรรมชาติต่างๆ หนึ่งในผู้ที่อพยพออกจากพื้นที่ได้ยากที่สุดคือกลุ่มคนพิการ เนื่องจากข้อจำกัดทางร่างกายส่งผลให้บางคนไม่สามารถพึ่งพาตัวเองได้ ต้องรอการช่วยเหลือจากคนข้างนอกเท่านั้น ซึ่งบางครั้งคนจากข้างนอกก็ไม่สามารถเข้าถึงได้เพราะความรุนแรงจากภัยพิบัติ ในขณะเดียวก็มีคนพิการจำนวนหนึ่งที่ต้องพึ่งพาอุปกรณ์ช่วยเหลือ เช่น เครื่องช่วยหายใจ รถเข็น เตียง นั้นหมายความในกรณีที่เกิดภัยพิบัติและไฟฟ้าถูกตัดขาด พวกเขาก็ไม่สามารถใช้อุปกรณ์เหล่านี้ได้ ส่งผลให้เกิดความเสี่ยงต่อสุขภาพอื่นๆ ตามมาอีก ความร้อนที่สูงขึ้นส่งผลต่อการเกิดโรคต่างๆ หนึ่งในนั้นคือโรงระบบทางเดินหายใจและหลอดเลือด ซึ่งมีความเสี่ยงอย่างมากในกลุ่มที่มีความบกพร่องทางการเคลื่อนไหว ผู้สูงอายุ ผู้สูงอายุคือกลุ่มเสี่ยงอันดับต้นๆ ที่ได้รับผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงทางของสภาพอากาศ แน่นอนว่าถ้ายิ่งร้อนขึ้นก็ยิ่งส่งผลเสียต่อสุขภาพมากขึ้น ซึ่งร้อนที่มักพบเห็นได้บ่อยคือโรคลมแดด (Heat Stroke) ข้อมูลจากโรงพยาบาลรามคำแหงระบุว่า กลุ่มผู้สูงอายุมีความเสี่ยงเป็นโรคลมแดดได้ง่าย เนื่องจากร่างกายของผู้สูงอายุไม่สามารถระบายอากาศได้ดีเท่ากับคนหนุ่มสาว อาการที่มักจะพบ คือ รู้สึกกระหายน้ำมาก ปวดหัว เวียนหัว คลื่นไส้ อาเจียน หายใจเร็ว ผู้สูงอายุได้รับผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงของสภาพอากาศคล้ายๆ กับในกลุ่มคนพิการ เนื่องจากทั้งสองกลุ่มนี้ส่วนใหญ่จะมีข้อจำกัดทางร่างกายและสุขภาพ ทำให้ได้รับผลกระทบมากกว่าคนทั่วไป อีกทั้งกว่าจะเข้าถึงการช่วยเหลือก็ยากกว่าคนทั่วไปอีกด้วย คนไร้บ้าน ปกติเรามักเจอคนไร้บ้านที่สะพานลอย ป้ายรถเมล์ และตามที่สาธารณะต่างๆ ซึ่งบางทีก็เป็นที่โล่งแจ้ง แน่นอนว่าพวกเขาเป็นกลุ่มคนที่ต้องเจอกับความร้อนเต็มๆ เพราะไม่มีที่อยู่อาศัยเป็นหลักแหล่ง อากาศที่ร้อนจัดก่อให้เกิดความเสี่ยงกับโรคภัยต่างๆ เช่น โรคลมชัก รวมไปถึงโรคเกี่ยวกับทางเดินอาหารอย่างอาหารเป็นพิษอีกด้วย เป็นไปได้ว่าคนไร้บ้านหลายคนมีอาหาร แต่ไม่มีที่เก็บ พออาหารอยู่ในอากาศร้อนเป็นเวลานานทำให้เกิดการเน่า บูด เมื่อกินเข้าไปก็ส่งผลเสียต่อร่างกาย ปัจจุบันคนไร้บ้านบางกลุ่มไม่มีหลักประกันทางสุขภาพ เนื่องจากพวกเขาบางส่วนไม่มีบัตรประชาชน ไม่มีเอกสารยืนยันตัวตน ทำให้เข้าถึงการรักษาพยาบาลไม่ได้ เพราะฉะนั้นถ้าหากพวกเขาเกิดเจ็บป่วย หลายคนจึงเลือกปล่อยไว้เฉยๆ และรอให้หายเอง เพราะไม่รู้ว่าจะไปหาหมอที่ไหน แรงงานนอกระบบ ไรเดอร์ วินมอเตอร์ไซต์ แรงงานก่อสร้าง แม่ค้าพ่อค้าหาบเร่ พวกเขาเหล่านี้มีสองสิ่งที่เหมือนกันคือ เป็นแรงงานนอกระบบและทำงานในที่แจ้ง การทำงานในที่แจ้งแน่นอนว่าพวกเขาได้รับผลกระทบจากแดดที่ร้อนแรงไปเต็มๆ ในช่วงนี้เราจึงเห็นไรเดอร์วิ่งไปมาบนถนนบ่อยขึ้น เนื่องจากหลายคนหลีกเลี่ยงที่จะออกจากบ้านด้วยตัวเอง และฝากท้องหรือฝากธุระไว้ที่ไรเดอร์แทน ส่วนแรงงานก่อสร้างที่ทำงานในที่กลางแจ้ง นอกจากต้องเผชิญกับอากาศร้อนแล้ว พวกเขายังต้องเจอกับฝุ่น ควัน มลภาวะทางอากาศในพื้นที่ก่อสร้าง ที่ส่งผลต่อระบบทางเดินทางใจ นอกจากนี้คนงานส่วนใหญ่มักจะอาศัยในแคมป์ของสถานก่อสร้างซึ่งเป็นสภาพแวดล้อมที่แออัด อากาศไม่ถ่ายเท ทำให้เจอกับอากาศร้อนบ่อยกว่าคนทั่วไป อีกหนึ่งปัญหาที่แรงงานนอกระบบมักจะเจอคือการเข้าไม่ถึงหลักประกันทางสุขภาพ พวกเขาไม่มีประกันสังคมเหมือนกับพนักงานบริษัท ไม่สามารถเบิกค่ารักษาพยาบาลได้ ในบางกรณีนายจ้างก็ไม่ได้คุ้มครองในส่วนนี้ อีกทั้งรายได้ที่ไม่สม่ำเสมอทำให้ขาดความมั่นคง แรงงานนอกระบบบางคนหากเจ็บป่วยหรือเกิดอุบัติเหตุก็เลือกที่ซื้อยากินเอง เนื่องจากประหยัดเงินและประหยัดเวลามากกว่าที่จะไปหาหมอที่โรงพยาบาล ปัญหาค่าตอบแทนที่น้อยเกินไปเมื่อเทียบกับภาระงาน ส่งผลให้หลายคนยอมทนอยู่ในสภาพแวดล้อมที่ไม่เหมาะสม เพราะเป็นห่วงปากท้องมากกว่า ซึ่งอากาศที่ร้อนและเปลี่ยนแปลงบ่อยทำให้พวกเขาต้องทนกับความเปลี่ยนแปลงที่มากยิ่งขึ้น กลุ่มชาติพันธุ์และผู้มีปัญหาสถานะบุคคล พวกเขาคือกลุ่มคนที่หลายคนคิดว่าเป็น ‘ต้นตอ’ ของโลกร้อน และฝุ่น pm 2.5 แต่จริงๆ แล้วพวกเขาคือกลุ่มคนที่ได้รับผลกระทบจากโลกร้อนมากกว่าคนอื่นๆ ปัจจุบันมีกลุ่มชาติพันธุ์หลายคนไม่ได้รับการรับรองสัญชาติตามกฎหมาย ทำให้พวกเขามีปัญหาการเข้าถึงบริการด้านสุขภาพ สวัสดิการสังคม และมาตราการรับมือภัยพิบัติได้ยากกว่า กลุ่มชาติพันธุ์บางส่วนอยู่ในพื้นที่ที่มีความเปราะบางสูงและเสี่ยงต่อภัยธรรมชาติมากกว่าคนทั่วไป เช่น พื้นที่เสี่ยงน้ำท่วม พื้นที่แห้งแล้ง อย่างกรณีของพื้นที่ห้วยหินลาดใน ต.บ้านโป่ง อ.เวียงป่าเป้า จ.เชียงราย ซึ่งเป็นชุมชนกลุ่มชาติพันธุ์ปกาเกอะญอ ในช่วงกันยายน 2567 พวกเขาเผชิญกับน้ำป่าไหลหลากและดินโคลนถล่มที่หนักที่สุดในรอบหลายปี ส่งผลให้บ้านเรือนเสียหาย ทางสัญจรถูกตัดขาด ไฟฟ้าไม่สามารถใช้งานได้ รวมไปถึงสัตว์สูญหายอีกด้วย ข้อมูลจาก The Active ระบุว่า ถึงแม้ชาวบ้านจะเฝ้าระวังและเตรียมพร้อมกับภัยพิบัติแล้ว แต่หนนี้มีความรุนแรงกว่าครั้งอื่นๆ จนไม่สามารถต้านทานความเสียหายได้ อาจารย์รัตติยาเพิ่มเติมว่ากลุ่มชาติพันธุ์ยังเสี่ยงกับโรคติดเชื้อที่เกี่ยวข้องกับอุณหภูมิที่สูงขึ้น เช่น ไข้มาลาเรีย ไข้เลือดออก และโรคทางเดินหายใจ ผู้มีความหลากหลายทางเพศ อาจารย์รัตติยามองว่า ผู้มีความหลากหลายทางเพศมีแนวโน้มที่จะได้รับผลกระทบเชิงลบจากการเปลี่ยนแปลงสภาพอากาศมากกว่า และมีทรัพยากรในการฟื้นตัวจากภัยพิบัติจากสภาพอากาศน้อยกว่า ข้อมูลจาก Greenpeace (กรีนพีซ) ระบุว่ากลุ่ม LGBTIQNA+ เจอผลกระทบทางอ้อมจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ เนื่องจากพวกเขามักเป็นกลุ่มที่ถูกไล่ออกจากบ้านหรือจำเป็นต้องออกจากบ้านเนื่องจากครอบครัวไม่ยอมรับตัวตนของพวกเขา งานวิจัยในสหรัฐอเมริกาพบว่าผู้มีความหลากหลายทางเพศ 120% เสี่ยงที่จะเป็นคนไร้บ้าน ซึ่งถ้าเป็นวัยรุ่น การหาที่อยู่ใหม่ก็จะยากขึ้นเนื่องจากยังไม่มีรายได้ที่มั่นคง ที่อยู่ที่เอื้อมถึงจึงอยู่ในพื้นที่ที่แออัด มีมลภาวะ...
17 Jul 68
292
Views
สุขภาพ
ถ้าสังคมคนโสดที่ประเทศญี่ปุ่นและประเทศจีนมีบริการแฟนเช่าสำหรับคนโสดที่อยากมีแฟนในระยะสั้นๆ จังหวัดเชียงใหม่ในตอนนี้ก็มี ‘การเช่าลูก’ เปิดให้บริการสำหรับผู้สูงอายุที่ไม่มีลูกหลานพาไปทำกิจกรรมต่างๆ ‘ไปแอ่วหา’ ‘ช่วยจัดยา’ ‘พาไปหาหมอ’ ‘นอนขาบเป็นเพื่อน’ 4 คำนี้ คือ ส่วนหนึ่งของบริการเช่าลูกที่ระบุไว้ในเพจของ บั๊ดดี้โฮมแคร์ (Buddy HomeCare) “ตอนแรกเราก็คิดอยู่เหมือนกันว่าคำว่าเช่าลูกดูแรงไปไหม กลัวมีดราม่า แต่พอโพสต์ลงไปกลับเป็นไวรัลเพราะเป็นคำที่น่าสนใจ แล้วเป็นเรื่องที่ดูเหมือนว่าทุกคนอยากได้” แบงค์-ทศวรรษ บุญมา ผู้จัดการบั๊ดดี้โฮมแคร์ ตอบเมื่อเราถามถึงเหตุผลว่าทำไมต้องเช่าลูก บริการเช่าลูกเป็นบริการใหม่ของบั๊ดดี้โฮมแคร์ (Buddy HomeCare) วิสาหกิจเพื่อสังคมที่มีบริการดูแลผู้สูงอายุในพื้นที่จังหวัดเชียงใหม่ ก่อตั้งโดยมูลนิธิพัฒนางานผู้สูงอายุ และได้รับการสนับสนุนจากสำนักสนับสนุนสุขภาวะประชากรกลุ่มเฉพาะ (สำนัก 9) สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) โดยเปิดให้ผู้สูงอายุหรือลูกหลานของผู้สูงอายุติดต่อเข้ามาผ่านช่องทางเฟซบุ๊ค Buddy HomeCare และเบอร์โทรศัพท์ บริการนี้จะเป็นบริการที่จะส่งอาสาสมัครเข้าไปหาผู้สูงอายุ และให้บริการตามที่ผู้สูงอายุได้ระบุไว้ล่วงหน้า โดยทางบั๊ดดี้โฮมแคร์จะคิดค่าเช่าลูกเป็นรายชั่วโมง เริ่มต้นที่ชั่วโมงละ 350 บาท “หลักๆ คือพาไปหาหมอไปโรงพยาบาล มีบางส่วนที่ขอพาไปเที่ยว” บริการที่บั๊ดดี้โฮมแคร์ระบุไว้ในเพจมีตั้งแต่การอ่านฉลากยา จนไปถึงบริการที่เราคาดไม่ถึงอย่างการช่วยไถ TikTok ที่ทำให้โพสต์โปรโมทบริการเช่าลูกกลายเป็นกระแสขึ้นมา แบงค์อธิบายเพิ่มเติมว่า ผู้สูงอายุสามารถระบุเพิ่มเติมได้ว่าต้องการบริการอะไรที่นอกเหนือไปจากบริการที่ทางบั๊ดดี้โฮมแคร์ระบุไว้ 1 ในคำขอที่คาดไม่ถึงที่แบงค์เคยได้รับ คือ ชวนไปต่างประเทศด้วยกัน โดยทางผู้สูงอายุระบุว่าจะเป็นคนออกค่าใช้จ่ายทั้งหมดให้ เพราะต้องการใครสักคนไปเป็นทั้งเพื่อนเที่ยวและตากล้องเมื่ออยู่ในต่างแดน “มันเป็นการมองถึงอนาคตด้วยว่าจริงๆ แล้วคนในยุคปัจจุบันไม่อยากมีลูก ต้องการอยู่ตัวคนเดียว แต่พอแก่ตัวไปก็ต้องมีที่พึ่ง ใครจะพาไปหาหมอ ใครจะพาไปธนาคาร ใครจะพาไปตลาด ซึ่งเขาก็จะได้เช่าลูกเพื่อให้มาอยู่ มาช่วยเป็นครั้งคราว” ให้เพื่อนต่างวัยเป็นลูกหลานชั่วคราว ปัจจุบันประเทศไทยก้าวเข้าสู่การเป็นสังคมสูงวัย (Aging Society) อย่างเต็มรูปแบบตั้งแต่ปี 2567 โดยอ้างอิงจากข้อมูลจากกรมการปกครอง กระทรวงมหาดไทย ปี 2566 ว่า ประเทศไทยมีจำนวนผู้สูงอายุคิดเป็น 1 ใน 5 ของประชากรไทยทั้งประเทศ และในขณะเดียวกัน จำนวนเด็กเกิดใหม่ในปี 2567 กลับมีไม่ถึง 5 แสนคน บริการเช่าลูกจึงเกิดขึ้นมาด้วยมุมมองที่เข้าใจถึงความโดดเดี่ยวของผู้สูงอายุ และเสนอบริการให้กับเหล่าผู้สูงวัยที่ไม่มีลูกหลาน ตลอดจนผู้สูงวัยที่ลูกหลานไม่สามารถเข้ามาดูแลได้ตลอดเวลาเพราะมีหน้าที่การงานฉุดรั้งเอาไว้ แบงค์เล่าว่า ปัจจุบันอาสาสมัครที่เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของบริการเช่าลูกนั้นมีอยู่ประมาณ 5 คน ซึ่งถูกคัดผ่านคุณสมบัติเบื้องต้นอย่าง มีใจรักในการบริการ ใจเย็น และมีความอดทนสูง เพราะการทำงานกับผู้สูงอายุแต่ละคนไม่ใช่เรื่องง่าย ส่วนเรื่องทักษะการดูแลผู้สูงวัยนั้น แบงค์บอกว่า อาสาสมัครทุกคนต้องผ่านการฝึกอบรมอย่างน้อย 70 ชั่วโมง จึงจะสามารถเริ่มงานได้ ถึงแม้จะใช้คำว่าอาสาสมัคร แต่อาสาสมัครทุกคนจะได้ส่วนแบ่ง 50% จากค่าจ้างในครั้งนั้นๆ ทำให้อาสาสมัครมีรายได้เสริม ส่วนทางบั๊ดดี้โฮมแคร์ซึ่งเป็นเจ้าของโครงการและดำเนินงานในรูปแบบวิสาหกิจเพื่อสังคมก็จะเอาเงินส่วนนี้ไปใช้ในการช่วยเหลือผู้สูงอายุในชุมชน อาทิ การมอบผ้าอ้อมผู้ใหญ่ ไม้เท้า และสิ่งของที่จำเป็นให้ ตลอดจนการให้บริการด้านสุขภาพเบื้องต้นฟรี ซึ่งเป็น 1 ในการต่อยอดบริการต่างๆ ที่ทางบั๊ดดี้โฮมแคร์กำลังดำเนินการ วิสาหกิจเพื่อสังคม คือ กิจการที่มีจุดมุ่งหมายหลักในการแก้ไขปัญหาสังคมและสิ่งแวดล้อม เพื่อให้มีความยั่งยืนทางการเงินจากรายได้หลักที่มาจากสินค้าหรือบริการ โดยไม่ต้องพึ่งพาการบริจาค และมีการนำผลกำไรที่เกิดขึ้นไปลงทุนเพื่อขยายผลในชุมชน ก่อนจะมาเป็นบั๊ดดี้โฮมแคร์ มูลนิธิพัฒนางานผู้สูงอายุจากการดำเนินโครงการอาสาสมัครดูแลผู้สูงอายุที่บ้านโดยใช้จุดแข็งอย่างความคุ้นเคยระหว่างอาสาสมัครและชุมชนในการทำให้ผู้สูงวัยกล้าที่จะพูดคุย แลกเปลี่ยน และไม่ปฏิเสธการดูแลจากอาสาสมัคร แต่เมื่อดำเนินการมาได้ระยะหนึ่ง ทางมูลนิธิฯ เห็นว่า สิ่งที่ขาดไปในการดูแลผู้สูงอายุคือ ความต่อเนื่อง และทักษะการดูแลของอาสาสมัคร จึงได้ก่อตั้งบั๊ดดี้โฮมแคร์จึงก่อตั้งขึ้น โดยบั๊ดดี้โฮมแคร์ทำงานเกี่ยวกับผู้สูงอายุ 3 กลุ่มด้วยกัน คือ ผู้สูงอายุที่มีปัญหาเรื่องการเคลื่อนไหว ผู้สูงอายุที่มีอาการป่วยเรื้อรัง เช่น โรคอัลไซเมอร์ และผู้สูงอายุระยะสุดท้าย และข้อแตกต่างที่ทำให้บริการเช่าลูกไม่เหมือนเนิร์สซิ่ง (Nursing) ของบริษัทเอกชน คือ เป็นการเก็บเงินค่าบริการ จากนั้นนำผลกำไรที่เกิดขึ้นไปดูแลผู้สูงอายุด้อยโอกาสและพัฒนาทักษะของผู้ดูแล ในขณะที่เนิร์สซิ่งของบริษัทเอกชนส่วนใหญ่จะเป็นศูนย์ดูแลผู้สูงอายุที่ให้ผู้สูงวัยจ่ายค่าบริการเพื่อไปอยู่อาศัย แทนที่จะได้อยู่บ้านของตัวเอง โดยทีมดูแลของบั๊ดดี้โฮมแคร์ในปัจจุบันกว่า 20 คนเป็นกลุ่มชาติพันธุ์ที่อาศัยอยู่ในจังหวัดเชียงใหม่ (คิดเป็น 80% ของพนักงานทั้งหมด) และส่วนใหญ่เป็นปกาเกอะญอ ซึ่งแบงค์บอกว่า ความโดดเด่นของพนักงานที่เป็นกลุ่มชาติพันธุ์ คือ พวกเขาไม่เคยเลือกงาน หากมีเคสอะไรส่งให้ก็จะรับไปทั้งหมด แถมยังขยันขันแข็งมาก เพราะส่วนใหญ่เรียนจบชั้นม.3 เพียงเท่านั้น ตัวเลือกของการทำงานจึงน้อย เมื่อมีโอกาสในการทำงานใหม่ๆ พวกเขาจึงเข้ามารับการอบรมการดูแลผู้สูงอายุ (หลักสูตรผู้ช่วยพยาบาล) 420 ชั่วโมงและฝึกงานภายใต้ความร่วมมือของมูลนิธิพัฒนางานผู้สูงอายุและคณะพยาบาลศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ เพื่อให้ได้วุฒิและงานดูแล เป็นต้นทุนชีวิตต่อไป ซึ่งในความเป็นจริงแล้ว สิ่งที่ผู้สูงวัยต้องการอาจไม่ใช่อะไรที่ยิ่งใหญ่ แต่เป็นใครสักคนที่เข้าใจ อาสาสมัครของบั๊ดดี้โฮมแคร์จึงต้องเป็นคนที่ใจเย็นและมีความอดทนในการช่วยเหลือผู้สูงอายุ “มีเคสหนึ่งคุณยายที่เป็นอัลไซเมอร์ เขาจะอยากทำในสิ่งที่ทำมาตลอด คือ เดินออกไปนอกบ้าน ไปเยี่ยมเพื่อนบ้าน แต่ลูกหลานไม่สามารถดูแลได้ตลอดเวลา เลยต้องจำกัดให้อยู่แต่ในบ้าน คุณยายเลยมีอาการโวยวายตลอดเวลา ใช้ความรุนแรงกับตัวเอง กับข้าวของ เพื่อให้ได้สิ่งที่ตัวเองต้องการ” ยงยุทธ เยอส่อ อดีตผู้ดูแลผู้สูงอายุที่บั๊ดดี้โฮมแคร์ อธิบายว่า ทักษะที่เหล่าอาสาสมัครจะขาดไปไม่ได้เลย คือ ความเข้าอกเข้าใจ เพราะผู้สูงอายุมักจะมีพฤติกรรมต่างๆ ที่เข้าใจได้ยาก และทำให้เกิดความขัดแย้งในการอยู่ร่วมกัน หากอาสาสมัครเข้าใจต้นตอของพฤติกรรมนั้นๆ จะช่วยให้อาสาสมัครช่วยปรับพฤติกรรมของผู้สูงอายุคนนั้นได้ นำไปสู่ปฏิสัมพันธ์ที่ดีขึ้นระหว่างผู้สูงอายุและสังคมแวดล้อม นอกจากการปรับพฤติกรรม ที่ผ่านมาอาสาสมัครของบั๊ดดี้โฮมแคร์ก็ได้มีการช่วยปรับสภาพแวดล้อมที่อยู่อาศัยของผู้สูงวัยในชุมชนอีกด้วย เพราะพวกเขามองว่าสภาพแวดล้อมเป็น 1 ในสาเหตุที่ทำให้ผู้สูงอายุแสดงพฤติกรรมที่ไม่พึงประสงค์ เพราะฉะนั้น การดูแลคนสูงวัยจึงไม่ใช่แค่ทางร่างกายและจิตใจ แต่รวมถึงสภาพแวดล้อมที่พวกเขาอยู่เช่นกัน “เริ่มจัดโน่นนี่ให้ ทำทุกอย่างให้เป็นห้อง ผู้สูงอายุก็หายใจได้โล่งขึ้น ทำได้...
08 Jul 68
515
Views
โครงการการพัฒนากลไกเพื่อการสร้างเสริมสุขภาพ อาชีวอนามัยและความปลอดภัยในการทำงานของผู้สูงอายุแรงงานนอกระบบในเขตเทศบาลนครเชียงใหม่ ได้ดำเนินกิจกรรมในกลุ่มผู้สูงอายุที่เป็นแรงงานนอกระบบในชุมชนกำแพงงาม ชุมชนนันทาราม และชุมชนวัดหัวฝาย เขตเทศบาลนครเชียงใหม่ ดังนี้ กิจกรรมสำรวจความปลอดภัยในการทำงทำงานชุมชนนันทาราม ครั้งที่ 2 เมื่อ 14 ธันวาคม 2567 แกนนำผู้สูงอายุแรงงานบอกระบบและคณะทำงานโครงการร่วมสำรวจความปลอดภัยในการทำงานของกลุ่มเป้าหมายที่เข้าร่วมกิจกรรมอบรมอาชีวอนามัยและความปลอดภัยในการทำงานฯ เมื่อเดือนพฤศจิกายน 2567 เพื่อร่วมสังเกตและสอบถามกลุ่มเป้าหมายถึงการนำความรู้มาปรับใช้ในการทำงาน เพื่อลดความเสี่ยงที่เกิดจากการทำงาน “เรารู้แล้วว่าบางงานที่เราทำมีความเสี่ยง…ตอบนี้เลิกตัดต้นไม้สูง เราคนเดียวปีนขึ้นเองรู้แล้วว่า ได้ไม่คุ้มกับความเสี่ยงเลย…” (รับจ้างทำสวน เพศชาย วัย 65 ปี) กิจกรรมการสร้างเสริมสุขภาพและป้องกันโรคเชิงรุกของผู้สูงอายุแรงงานนอกระบบ ชุมชนวัดนันทาราม เมื่อ 22 ธันวาคม 2567 นักส่งเสริมสุขภาพจิตและพยาบาลวิชาชีพเข้าสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพจิตให้กับกลุ่มเป้าหมาย เนื่องจากเป็นประเด็นที่กลุ่มเป้าหมายให้ความสำคัญ ด้วยเหตุของวัยที่เพิ่มขึ้น การทำงานที่บ้านเป็นส่วนใหญ่ทำให้ไม่ค่อยได้พบปะเพื่อนฝูงมากนัก ประกอบกับการประสบอุทกภัยครั้งใหญ่ เหล่านี้ส่งผลกระทบต่อการดำเนินชีวิตมีความวิตกกังวล อีกทั้งกระทบต่อการประกอบอาชีพ นักส่งเสริมฯ จึงสนับสนุนวิธีการดูแลสุขภาพจิต การฝึกคิดบวก การพยุงและฉุดตัวเองจากภาวะที่กระทบจิตใจ “ยังดีที่วันนี้…” ติดตามกลไกและแผนปฏิบัติการชุมชนชุมชนกำแพงงาม และวัดนันทาราม คณะทำงานติดตามแผนปฏิบัติการชุมชนกำแพงงาม (กิ๋นลำ กำแพงงาม) กลุ่มเป้าหมายรวมกลุ่มเพื่อพบปะ และทำ “กระบองทอด” อาหารขึ้นชื่อของชุมชน แล้วขายที่คลองแม่ข่า รายได้เข้ากลุ่มเพื่อสนับสนุนกิจกรรมต่อไป ขณะที่ชุมชนวัดนันทารามยังคงขับเคลื่อนแผนฯ ต่อเนื่องในทุก ๆ เย็นวันอังคาร (เดินออกกำลังกาย) กิจกรรมแลกเปลี่ยนเรียนรู้และวิเคราะห์การนำความรู้ไปใช้ และติดตามกลไกชุมชนวัดหัวฝาย เมื่อวันที่ 8 มกราคม 2568 คณะทำงาน แกนนำฯ และตัวแทน กลุ่มเป้าหมายร่วมแลกเปลี่ยนการนำความรู้อาชีวอนามัยฯ และการยืดเหยียดร่างกายไปใช้หลังจากเข้าร่วมกิจกรรมดังกล่าว และโอกาสนี้ได้ติดตามแผนปฏิบัติการ (หมอนหลอดดูด) ซึ่งมีการจัดทำและส่งมอบให้ผู้มีความจำเป็นและต้องการไปแล้ว 2 ใบ) กิจกรรมเติมเต็มความรู้ความต้องการของกลุ่มเป้าหมาย (พื้นฐานการใช้ยา) ชุมชนวัดนันทาราม
27 Jan 68
319
Views
สสส. โดย สำนัก 9 ร่วมกับภาคีมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์จัดเวทีสาธารณะ มุมมอง และข้อเสนอต่อนโยบายด้านสุขภาวะของกลุ่มผู้สูงอายุที่มีความหลากหลายทางเพศ . เมื่อวันที่ 1 ตุลาคม 2567 รศ.ดร.ฐิติกาญจน์ อัศตรกุล จากคณะวิทยาการเรียนรู้และศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ นำเสนอผลการศึกษาโครงการวิจัย “การศึกษาสถานการณ์สุขภาวะทางเพศ สุขภาพจิตและความสัมพันธ์ของกลุ่มประชากรสูงอายุที่มีความหลากหลายทางเพศ (LGBTIQN+) ในประเทศไทย สนับสนุนโดย สสส. และเสวนาเรื่อง “Pride and (No) Prejudice: ความรัก ศักดิ์ศรี และความเป็นอยู่ที่ดีของผู้สูงวัย LGBTQIAN+” เพื่อแลกเปลี่ยนความคิดเห็นและแนวทางการขับเคลื่อนงานต่อไปในอนาคต โดยได้รับเกียรติจากภาคีเครือข่ายที่มีความเชี่ยวชาญในประเด็นดังกล่าว ได้แก่ รศ.ดร.อานนท์ มาเม้า คุณมัจฉา พรอินทร์ คุณอัจฉราภรณ์ ทองแฉล้ม และคุณทฤษฎี สว่างยิ่ง ดำเนินการเสวนาโดย ผศ.ดร.อดิศร จันทรสุข . ซึ่งในงานมีคุณภรณี ภู่ประเสริฐ ผู้ช่วยผู้จัดการกองทุน สสส. และรักษาการ ผอ.สำนัก 9 พร้อมด้วยภาคีเครือข่ายต่าง ๆ กว่า 30 ท่านเข้าร่วมแลกเปลี่ยนเรียนรู้ตลอดกิจกรรมฯ ซึ่งในงานมีคุณภรณี ภู่ประเสริฐ ผู้ช่วยผู้จัดการกองทุน สสส. และรักษาการ ผอ.สำนัก 9 พร้อมด้วยภาคีเครือข่ายต่าง ๆ กว่า 30 ท่านเข้าร่วมแลกเปลี่ยนเรียนรู้ตลอดกิจกรรมฯ
07 Oct 67
29,209
Views
เทคโนโลยี
นับเราด้วยคน S2 EP.124 รู้จัก AI Help แพลตฟอร์มกะพริบตา เพื่อคนติดเตียง รายการวิทยุนับเราด้วยคน ออกอากาศเวลา 17.00-18.00 น. ทุกวันเสาร์เเละอาทิตย์ทางสถานีวิทยุ FM 105 MHz. สามารถติดตามรายละเอียดได้ที่ Facebook Fanpage : นับเราด้วยคน
14 Jul 67
359
Views
นับเราด้วยคน S2 EP.082 สร้างหนังสูงวัย จากคนวัยเก๋า รายการวิทยุนับเราด้วยคน ออกอากาศเวลา 17.00-18.00 น. ทุกวันเสาร์เเละอาทิตย์ทางสถานีวิทยุ FM 105 MHz. สามารถติดตามรายละเอียดได้ที่ Facebook Fanpage : นับเราด้วยคน
29 Oct 66
510
Views
ภายในปี 2065 องค์กรสหประชาชาติ (UN) คาดการณ์ว่า จำนวนประชากรของผู้ที่มีอายุสูงกว่า 65 ปี จะแซงหน้าจำนวนเด็กที่มีอายุต่ำกว่า 5 ปี ขณะเดียวกัน อายุขัยเฉลี่ยของคนทั่วโลกมีแนวโน้มสูงขึ้น โดยข้อมูลจากองค์การอนามัยโลก (WHO) ระบุว่า ปี 2019 อายุขัยเฉลี่ยของคนทั่วโลกอยู่ที่ 72.6 ปี ซึ่งคิดเป็น 2 เท่า นับตั้งแต่เก็บข้อมูลเมื่อปี 1950 ที่อายุขัยเฉลี่ยของคนทั่วโลกอยู่ที่ 45.7 ปีเท่านั้น ดูเหมือนว่าความเจริญก้าวหน้าทางเทคโนโลยีการแพทย์จะยืดอายุขัยของมนุษย์ออกไปเรื่อยๆ แต่ถ้าไม่มีการจัดการที่ดีพอ อายุขัยที่เพิ่มขึ้น อาจหมายถึงการยืดระยะของอาการเจ็บป่วยทางกาย ใจ และสังคม ก็เท่านั้น สุขภาพที่ดีจึงเป็นโจทย์ของผู้สูงอายุที่ไม่เพียงต้องอาศัยเทคโนโลยีการแพทย์เข้ามาช่วยดูแล แต่ยังรวมไปถึงเทคโนโลยีด้านอื่นที่จะสนับสนุนความเป็นอยู่ที่ดี ซึ่งรายงานของ World Economic Forum (2021) สรุป 8 นวัตกรรม สำหรับยกระดับคุณภาพชีวิตของผู้สูงอายุให้มีคุณภาพมากขึ้น 1. อิสรภาพทางการเงินและความมั่นคง นอกจากการวางแผนเงินบำนาญตามระบบแล้ว เทคโนโลยีอาจช่วยในการวางแผนทางการเงินที่มีต้นทุนต่ำและเป็นส่วนตัว ซึ่งทำให้คนที่มีภูมิหลังทางเศรษฐกิจต่ำสามารถเข้าถึงการวางแผนเกษียณอายุได้ ตัวอย่างคือ ในปี 1999 Insurance & Pension Denmark เปิดตัวเว็บไซต์ PensionsInfo เพื่อให้แรงงานสามารถดูข้อมูลบัญชีและผลประโยชน์ที่ได้จากภาครัฐหลังเกษียณในที่เดียว เว็บไซต์ยังประเมินรายได้หลังเกษียณตามที่ผู้ใช้งานแต่ละคนคาดหวัง หากผู้ใช้งานพบว่ารายได้หลังเกษียณที่คาดการณ์ไว้ต่ำกว่าเป้าหมาย ก็สามารถเลือกออมเงินเพิ่มหรือเพิ่มระยะเวลาเกษียณได้ ในระหว่างอายุ 65-69 ปี ตามกฎหมายของเดนมาร์ก ขณะที่แผนการเกษียณอายุแบบผสมผสานของเนเธอร์แลนด์ มีความน่าสนใจไม่แพ้กัน ด้านหนึ่งมีระบบรวบรวมเงินออมจากคนงานในหลายภาคอุตสาหกรรม และจ้างผู้ดูแลพอร์ตสำหรับการลงทุนโดยเฉพาะ อีกด้านหนึ่งยังจำลองรายได้ของเงินบำนาญแบบดั้งเดิม โดยกำหนดแผนการจ่ายเงินให้คนเกษียณและคู่สมรสเป็นรายเดือนตลอดชีพ ซึ่งภายใต้กฎหมายบำเหน็จบำนาญฉบับใหม่ สมาชิกจะสามารถถอนเงินได้สูงสุด 10 เปอร์เซ็นต์ ของยอดเงินคงเหลือ ดังนั้น ระบบนี้จึงช่วยให้แน่ใจว่าผู้เกษียณอายุจะมีเงินใช้เพียงพอ และยังให้ผลตอบแทนเพิ่มเติมในรูปของเครดิตมรณกรรม (mortality credits) ซึ่งก็คือเงินออมคงเหลือของผู้ที่เสียชีวิตไปแล้ว จะยังคงอยู่ในระบบและถูกนำไปแจกจ่ายให้ผู้ที่มีอายุยืนยาวที่สุด กล่าวคือ ผู้รับบำนาญที่มีอายุยืนยาวที่สุด คือผู้ที่ได้รับประโยชน์สูงสุด 2. AI และเครื่องมือตรวจหาโรคในระยะเริ่มต้น การป้องกันโรคในอนาคตเป็นอีกสิ่งสำคัญที่ทำให้คนสูงวัยมีคุณภาพชีวิตและสุขภาพดี การตรวจหาสัญญาณความชราและปัจจัยเสี่ยงของโรคต่างๆ จึงมีความจำเป็น ในขณะที่ระบบการรักษาโรคต้องแลกมาด้วยค่าใช้จ่ายจำนวนมาก ทว่าการป้องกันโรคจะสามารถช่วยลดค่าใช้จ่ายด้านการรักษาพยาบาลได้อย่างมาก ซึ่งปัจจุบันวิธีการแบบดิจิทัลเพื่อติดตามและตรวจหาโรคในระยะแรกได้พัฒนาอย่างรวดเร็วในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา เทคโนโลยีที่ใช้ AI ควบคู่กับการระบุข้อมูลทางชีวภาพ เช่น สรีรวิทยาไฟฟ้าหัวใจ (electrophysiological) เพื่อตรวจการทำงานของสมอง เสียง การหายใจ หรือการไอ สามารถวินิจฉัยอาการที่พบได้ตั้งแต่เนิ่นๆ ซึ่งหากมีความเสี่ยงเป็นโรคร้าย ย่อมทำให้มีการจัดการ บรรเทา หรือป้องกันผลกระทบได้ดียิ่งขึ้น 3. พบหมอออนไลน์ ตรวจสุขภาพทันใจ ปัจจุบันความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีสามารถตรวจคัดกรองสัญญาณชีพผู้สูงอายุจากที่บ้านได้ โดยไม่ต้องใช้บุคลากรเฉพาะทาง หรือใช้เพียงอุปกรณ์เครื่องมือที่สามารถซื้อหาได้สำหรับตรวจจับสถานะสุขภาพ แต่ถ้าเกิดสภาวะฉุกเฉินก็สามารถติดต่อกับแพทย์ได้โดยตรง ฉะนั้น เทคโนโลยีที่ช่วยติดต่อ ติดตาม รวมถึงเชื่อมโยงระหว่างแพทย์และผู้สูงอายุ จะช่วยลดภาระบุคลากรทางการแพทย์และลดค่าใช้จ่ายในการรักษาพยาบาลลงอย่างมาก 4. บริการดูแลผู้สูงวัยใกล้บ้าน การเปลี่ยนแปลงการให้บริการด้านสุขภาพในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา มีองค์ประกอบหลักคือ ครอบครัวเป็นศูนย์กลางการดูแลสุขภาพมากขึ้น ทำให้เกิดบทสนทนาระหว่างคนในครัวเรือนและตอบสนองความต้องการของผู้สูงอายุได้โดยตรง เช่น แนวทาง ‘สูงวัยที่บ้าน’ (aging at home) ที่ผู้ดูแล ครอบครัว หรือแม้แต่คนขายประกัน ก็สามารถร่วมกันสร้างแผนการดูแลเฉพาะบุคคลได้ ซึ่งมีประโยชน์ต่อกลุ่มประเทศกำลังพัฒนาและมีศักยภาพในการลดค่าใช้จ่ายทางการแพทย์ในระยะยาว ตัวอย่างคือ self-help clubs หรือชมรมช่วยเหลือตัวเองของผู้สูงวัย ซึ่งเป็นโครงการหนึ่งของ HelpAge Global Network องค์กรไม่แสวงผลกำไรที่มีกว่า 160 แห่ง ใน 90 ประเทศ สมาชิกชมรมจะมีการจัดกิจกรรมหลากหลาย เช่น ร้องเพลงและเต้นรำ ออกเงินกู้เล็กน้อย การตรวจวัดความดัน การบรรยายวิธีใช้สมาร์ตโฟน หรือกระทั่งการส่งอาสาสมัครช่วยเก็บเกี่ยวพืชผลสำหรับสมาชิกที่เป็นชาวไร่และล้มป่วย 5. ปกป้องความเสื่อมถอยของระบบประสาท การสูญเสียการได้ยินเป็นปัจจัยเสี่ยงอันดับต้นๆ ของภาวะสมองเสื่อม และจำเป็นต้องได้รับการแก้ไขอย่างทันท่วงที เพื่อป้องกันความเสี่ยงจากการหกล้ม ความบกพร่องทางสติปัญญา การแยกตัวทางสังคม และผลเสียด้านสุขภาพอื่นๆ ปัจจุบันนวัตกรรมทางการแพทย์มีการพัฒนาเครื่องช่วยฟังรุ่นใหม่ รวมถึงเครื่องช่วยฟังที่ควบคุมโดยสมอง โดยสามารถปกป้องเซลล์ขนของหูชั้นในไม่ให้เสื่อมสภาพตามวัยได้ 6. เกมลับสมองให้คล่องแคล่ว การฝึกการรู้คิด (cognitive functioning) และการฝึกกิจกรรมในชีวิตประจำวัน เช่น การเล่นเกมกระดาน การฝึกกิจกรรมเหล่านี้ต้องออกแบบใหม่ให้สอดคล้องกับความต้องการของผู้สูงอายุ การโต้ตอบที่เหมาะสม ทำให้ระบบรู้คิดยังคงทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพและป้องกันโรคเกี่ยวกับสมองได้ ตัวอย่างเช่น การจำลองประสบการณ์เสมือนจริงที่เป็นมิตรต่อผู้สูงอายุและการใช้เกม (gamification) กระตุ้นหรือสร้างแรงจูงใจในการเรียนรู้ ล้วนทำให้ผู้สูงอายุมีการโต้ตอบมากขึ้น นับเป็นการรักษาระบบรู้คิดในทางหนึ่งที่ได้ผล 7. เชื่อมต่อสังคมผู้สูงอายุบนแพลตฟอร์มดิจิทัล ความผูกพันทางสังคมและการเรียนรู้ตลอดชีวิตเป็นสองส่วนสำคัญของสุขภาพที่ดีและการเป็นผู้สูงวัย การเชื่อมโยงทั้งสองปัจจัยในการสนับสนุนผู้สูงวัย มีผลเชิงบวกต่อการแก้ปัญหาด้านสาธารณสุข เช่น ความเหงา ภาวะซึมเศร้า และความวิตกกังวล เทคโนโลยีที่ดีจึงควรมีส่วนสำคัญต่อการเชื่อมโยงผู้สูงวัยกับทั้งสังคมและดิจิทัล เช่น ผู้สูงอายุที่สูญเสียการได้ยินหรือเป็นอัมพาต จำเป็นต้องใช้คุณสมบัติของหน้าจอสัมผัส เซ็นเซอร์ หรือหมายเลขโทรศัพท์ที่บันทึกไว้ล่วงหน้า ฯลฯ เพื่อให้ผู้ใช้งานสามารถสื่อสารกับเพื่อนและครอบครัวได้อย่างเสรี 8. บริการขนส่งฉับไว เข้าใจผู้สูงอายุ การเคลื่อนไหวของร่างกายเป็นอีกส่วนสำคัญที่แสดงให้เห็นถึงคุณค่าในชีวิตของผู้สูงอายุ เทคโนโลยีจึงจำเป็นต้องช่วยเพิ่มความมั่นใจและความเป็นอิสระให้กับพวกเขา การอำนวยความสะดวกในการเคลื่อนไหวที่ดีสำหรับผู้สูงอายุ เริ่มต้นง่ายๆ จากการเลือกรถผ่านแอปพลิเคชันขนส่งที่สามารถเลือกคนขับที่ได้รับการฝึกฝนด้านการช่วยเหลือทางการแพทย์ขั้นพื้นฐาน ซึ่งจะทำให้ผู้สูงอายุสามารถทำกิจกรรมประจำวันได้อย่างมั่นใจ เช่น...
17 Jun 66
2,763
Views