
“สังคมแบบไหนที่คนอยากแก่ไปด้วยกัน” สรุปจากงานวิจัยคนสูงวัยร้อยปี ถ้าคนรุ่นใหม่ไม่อยากชรา แต่ถ้าร้อยปีขึ้นมาจะทำอย่างไร?
ใครอยากแก่ขอให้ยกมือขึ้น
เชื่อว่าหากได้ยินประโยคนี้ คนส่วนใหญ่คงเลือกที่จะเก็บมือไว้ข้างตัว เพราะคนส่วนใหญ่กลัวว่าถ้าแก่ตัวไป การใช้ชีวิตจะไม่เหมือนเดิม สุขภาพร่างกายมีการเปลี่ยนแปลง และอาจจะต้องพึ่งพาคนอื่น ซึ่งในสังคมที่มีความเป็นปัจเจกมากขึ้น หลายคนยิ่งมองไม่เห็นภาพที่ตัวเองจะมีครอบครัว หรือมีลูกหลานเข้ามาดูแล พอตั้งคำถามกับตัวเองว่า “อยากแก่อย่างโดดเดี่ยวหรือเปล่า” คำตอบจึงเป็นคำว่า ‘ไม่’ และ “ขอไม่แก่ดีกว่า”
ซึ่งสำหรับอาจารย์แหวน – ผศ.ดร.ณัฏฐพัชร สโรบล อาจารย์ประจำภาควิชานโยบายสังคม การพัฒนาสังคมและการพัฒนาชุมชน คณะสังคมสงเคราะห์ศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ 1 ในคณะวิจัยของ ‘รายงานวิจัยวิถีชีวิตและความสุขของผู้สูงอายุเกิน 100 ปี’ สนับสนุนโดย สำนักสนับสนุนสุขภาวะประชากรกลุ่มเฉพาะ (สำนัก9) สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) ความคิดเห็นของเธอกับเรื่องนี้ก็ไม่ต่างอะไรกับคนทั่วไป แม้ว่าจะได้คลุกคลีกับผู้สูงวัยมากพอสมควร
“ถ้าเปรียบเทียบกับชีวิตและความสุขคนร้อยปีจากงานที่อาจารย์ศึกษา ก็เข้าใจได้เลยว่าทำไมคนปัจจุบันไม่อยากแก่ อยากตายก่อนแก่ เพราะว่าตัวอาจารย์เองก็มีมุมมองแบบนี้เหมือนกัน”
จุดหมายปลายทางของงานวิจัยชุดนี้ จึงไม่ใช่การค้นคว้าหาเคล็ดลับว่า ทำอย่างไรจึงจะอายุ 100 ปี แต่อาจจะเป็นการตกตะกอนว่า หากวันใดเราถูกกำหนดให้เป็นคนที่มีอายุยืนยาวตามความน่าจะเป็นทางวิทยาศาสตร์ที่มนุษย์อายุยืนขึ้นเรื่อยๆ เราจะต้องเตรียมความพร้อมให้ตัวเองในวัยที่พุ่งทะยานไปถึง 100 ปีอย่างไร ให้ทุกข์น้อยที่สุด
วิถีชีวิตที่ดีและมีความสุขหน้าตาเป็นแบบไหน?
หากเราลองค้นหาคำว่า “วิถีชีวิตที่ดีและมีความสุข” แน่นอนว่าจะมีผลการค้นหาจำนวนไม่ถ้วนขึ้นมาเป็นคำตอบ เพราะคนแต่ละคนมีกฎเกณฑ์มาตรฐานให้กับวิถีชีวิตที่ดีและมีความสุขที่แตกต่างกันออกไป
บางคนแค่มีเงินใช้ไม่ขาดมือก็ถือว่าชีวิตดี บางคนแค่มีสัตว์เลี้ยง 3-4 ตัวในบ้าน ก็มีความสุขแล้ว
แต่สำหรับผู้สูงวัย 100 ปี จากงานวิจัยที่อาจารย์แหวนและทีมวิจัยพบ คือ วิถีชีวิตที่ดีกับการมีความสุข เป็นปัจจัยที่เกี่ยวเนื่องซึ่งกันและกัน เพราะถ้ามีความสุข วิถีชีวิตก็จะดีตาม
“ความสุขของคน 100 ปีส่วนใหญ่ คือ ความภาคภูมิใจในตัวเอง ถัดมาคือการมีชีวิตอย่างมีความสุขกับสิ่งเล็กๆ น้อยๆ รอบตัว เช่น การอยู่กับครอบครัว ลูกหลาน ที่อยู่อาศัย และอย่างที่ 3 คือ การพึงพอใจในตัวเอง”
อาจารย์แหวนอธิบายว่า กลุ่มตัวอย่างภายใต้งานวิจัยนี้ มี 3 ปัจจัยด้วยกัน คือ (1) เป็นผู้สูงอายุที่แข็งแรง ช่วยเหลือตัวเองได้ (2) มีความเชื่อเกี่ยวกับคุณค่าของคนจากการทำประโยชน์ให้กับสังคม และ (3) อยู่อาศัยร่วมกับครอบครัว
แต่ในปัจจุบัน ประเทศไทยมีคนอายุเกิน 100 ปีเป็นจำนวนกว่า 45,561 คน แน่นอนว่าต้องมีผู้สูงอายุอีกจำนวนไม่น้อยที่ไม่ได้มีคุณภาพชีวิตที่ดี สิ่งที่งานวิจัยชุดนี้วิเคราะห์ออกมาได้สำหรับอนาคตคือ ปัจจัยที่จะทำให้คนมีวิถีชีวิตที่ดีและมีความสุขอย่าง ‘ครอบครัว’ จะลดลง และอาจจะถูกแทนที่ด้วยสิ่งอื่น เช่น เทคโนโลยีที่ทำให้คนไม่ต้องพึ่งพาครอบครัว

“ในปัจจุบันมีคนอายุเกินร้อยปีอยู่ไม่น้อยที่ไม่ได้มีคุณภาพชีวิตที่ดีนัก เพียงแต่งานวิจัยไม่ได้ไปเลือกมาศึกษาเปรียบเทียบ ดังนั้นเมื่อเราวิเคราะห์ไปถึงสังคมไทยในอนาคตโดยอ้างอิงจากผลการวิจัย เรื่องที่น่ากังวลที่สุด คือ ผู้สูงอายุจะอยู่ลำพังมากขึ้น เพราะปัจจัยเรื่องการอยู่อาศัยกับครอบครัวมีแนวโน้มลดลง คนในปัจจุบันใช้ชีวิตแบบปัจเจกมากขึ้น ดังนั้นอาจารย์คิดว่า ปัจจัยของการมีคุณภาพชีวิตที่ดีในอนาคตเปลี่ยนแน่นอน”
สำหรับอีก 1 ปัจจัยด้านความสุขจากงานวิจัยอย่าง ‘คุณค่า’ อาจารย์แหวนชี้ว่า แม้คนในยุคปัจจุบันจะมีความปัจเจกมากขึ้น แต่แนวคิดเรื่องคุณค่ายังคงเดิม คือ เป็นสิ่งที่ทำให้เรารู้สึกภูมิใจและมีความสุข เพียงแต่เปลี่ยนแปลงรูปแบบไปตามยุคสมัย
“สุดท้ายคนเราจะมีความสุขเมื่อเราพอใจและภูมิใจในตัวเอง วิธีคิดนี้นำไปสู่การสร้างคุณค่า ถ้าคนร้อยปีให้คุณค่ากับการเป็นครูสอนปรุงยา ให้คำสั่งสอนกับสังคม การให้คุณค่าของคนยุคนี้ก็สะท้อนได้จากการเป็นอินฟลูเอนเซอร์ ที่เน้นความเชี่ยวชาญ ดึงดูดให้คนมาสนใจในเรื่องราวต่างๆ มันเหมือนกัน เพราะเป็นสิ่งที่ทำแล้วรู้สึกว่าตัวเองภูมิใจ มีประโยชน์ต่อสังคม”
สังคมที่คนอยากแก่
“เราพบว่าปัจจัยของการมีชีวิตยืนยาวและมีคุณภาพ สิ่งที่สำคัญคือ ครอบครัว”
จากการศึกษา อาจารย์แหวนอธิบายว่า การความสัมพันธ์และดูแลเอาใจใส่จากครอบครัวเป็นสิ่งสำคัญที่จะทำให้ชีวิตของผู้สูงวัยยืนยาวอย่างมีคุณภาพ ซึ่งความสัมพันธ์ในที่นี้ ไม่ได้วัดที่เงินทองของลูกหลานที่ออกไปทำงานแล้วส่งมาให้ แต่เป็นการใช้ชีวิตร่วมกันในแต่ละวันจนความสัมพันธ์ที่มีอยู่แน่นแฟ้น
“ทรัพย์สินเงินทองไม่ใช่ทางออกและไม่ใช่คำตอบ เพราะว่าการมีเงินทองไม่สามารถทดแทนกับความสัมพันธ์ได้”
อาจารย์แหวนชี้ว่า คนร้อยปีในงานวิจัยไม่ได้ให้ความสำคัญกับเงินทองมากนัก เนื่องจากพวกเขาไม่มีหนี้สิน แต่ในทางกลับกันก็ไม่มีเงินออม เพราะพออายุร้อยปี ความจำเป็นในการใช้เงินในแต่ละวันก็น้อยลง ขอแค่ครอบครัวมีความสัมพันธ์อันดีก็เพียงพอ
แต่สำหรับสังคมปัจจุบันที่คนมีความเป็นปัจเจกมากขึ้น เรามักมองภาพไม่ออกว่าในอนาคตเราจะมีครอบครัวที่อบอุ่น มีลูกหลานคอยดูแลยามแก่ชราไหม คนในยุคนี้จึงวางแผนอนาคตตัวเองด้วยการเก็บออมเงินทองเพื่อให้เราแก่ได้อย่างมีคุณภาพ ซึ่งไม่ใช่แค่คนโสดเท่านั้นที่กังวลว่า เราจะแก่ตัวไปยังไงถ้าปราศจากครอบครัวหรือคู่คิด เพราะคนมีคู่เองก็คิดว่า หากมีครอบครัวแต่ท้ายที่สุดความสัมพันธ์ในครอบครัวมันลดลงไป เราจะแก่ตัวไปอย่างไรให้ไม่โดดเดี่ยว
แต่งานวิจัยชุดนี้บอกว่า ความสุขไม่ได้วัดที่เงินทอง แต่วัดที่ความสัมพันธ์ในครอบครัว ปัจจัยอะไรที่จะเข้ามาทดแทนให้คนแก่ในอนาคตมีความสุขได้บ้าง?
คำตอบ คือ ‘การใช้ชีวิตอย่างอิสระ’

“คนเราถ้าไม่มีครอบครัวก็ยังอยู่ได้นะ ยังมีความสุขได้ ถ้ายังสามารถทำอะไรในสิ่งที่อย่างทำ เช่น ออกไปไหนมาไหนเองด้วยการเรียก Grab”
ซึ่งจากงานวิจัย การใช้ชีวิตได้อิสระทำให้ผู้สูงวัยรู้สึกมีคุณค่า ซึ่งเป็น 1 ในปัจจัยที่ทำให้ผู้สูงวัยมีความสุข ซึ่งการมีคุณค่าในที่นี้ไม่จำเป็นต้องมีตำแหน่งใหญ่โตในสังคม ขอเพียงกินข้าวเองได้ เดินเหินไปไหนมาไหนด้วยตัวเองได้ ไม่เป็นภาระพึ่งพิงใคร เพียงเท่านี้พวกเขาก็รู้สึกว่าตัวเองมีคุณค่าแล้ว
“ตอนนี้เราอยากไปไหน เราก็ไป ไม่มีใครห้าม เพราะร่างกายยังปกติ แต่พอแก่ ร่างกายเปลี่ยนไป เราถูกจำกัดอิสรภาพทันที พอแก่ปุ๊บก็โดนห้ามทำนู่นทำนี่แล้ว”
เราต่างรู้ดีว่าความสามารถบางอย่างที่เราเคยมีในวัยหนุ่มสาวอาจลดน้อยลงในวัยชราจนไม่ได้มีประสิทธิภาพเท่าเก่า ซึ่งไม่จำเป็นต้องถึงร้อยปี เพราะแค่นึกถึงผู้สูงวัยในบ้านที่อายุ 60-70 ปี เราก็รู้สึกเป็นห่วงพวกเขาในทุกๆ ครั้งที่มีการขยับตัว กลัวจะลื่นล้มจนได้รับบาดเจ็บ ผู้สูงวัยจึงต้องมีอะไรมาทดแทน (Compensation) ให้พวกเขายังสามารถใช้ชีวิตได้เหมือนเดิม เช่น ไม้เท้า เครื่องช่วยฟัง สัญญาณดักจับหลุมบ่อ
ทว่า ถ้าสังคมไม่ได้มีการทดแทนให้ ผู้สูงวัยก็ต้องหาบริการมาทดแทนด้วยตัวเอง ซึ่งถ้าบริการนั้นๆ มีราคาสูง แต่ผู้สูงวัยไม่มีกำลังจ่าย สุดท้ายพวกเขาก็ทำได้เพียงนั่งอยู่บ้านเฉยๆ อย่างไม่มีความสุข
“สังคมที่คนไม่กลัวที่จะแก่ ต้องเป็นสังคมที่มีการชดเชยและเสริมพลังให้กับผู้สูงอายุ (Compensate to Empowerment) เพราะการแก่คือการสูญเสีย (Loss) บางอย่างไปแล้วไม่เหมือนเดิม สังคมจึงต้องสร้างอะไรบางอย่างมาทดแทน ต้องมีการออกแบบสภาพแวดล้อม มีการใช้เทคโนโลยีที่ส่งเสริมให้เรามีชีวิต (Functional Compensation)”
สำหรับตัวอาจารย์แหวนที่ยังคงยึดมั่นในความคิดของตัวเองว่าไม่อยากแก่ อ.มองว่า หากวันหนึ่งแก่ตัวไป อ.อยากอยู่ในสังคมที่ผู้สูงวัยสามารถใช้ชีวิตและพึ่งพาตัวเองได้เช่นกัน
“เราอยากอยู่ในสังคมที่เอื้อให้เราใช้ชีวิตด้วยตัวเราเองได้และพึ่งพิงคนอื่นน้อยที่สุด สามารถขึ้นรถไฟฟ้าเองได้โดยไม่ต้องพึ่งใครจูงเราขึ้นไป สามารถไปสั่งอาหารในร้านอาหารเองได้เพราะตัวอักษรบนเมนูใหญ่พอ แล้วขอความช่วยเหลือจากคนอื่นเมื่อเกิดเหตุสุดวิสัยเท่านั้น สิ่งเหล่านี้ทำให้เราเห็นคุณค่าในตัวเองว่า ฉันยังคงทำอะไรด้วยตัวเองได้”
คนร้อยปีกับวาระสุดท้ายของชีวิต
ทุกคนต้องตาย
ประโยคนี้เป็นความจริงที่ไม่มีใครสามารถหลีกเลี่ยงได้ ไม่ช้าก็เร็ว คนทุกคนก็ต้องจากโลกนี้ไปอยู่ดี บางคนจึงเตรียมตัวตายด้วยวิธีที่แตกต่างกันออกไป แต่ถ้าไปถามผู้สูงวัยร้อยปีจากงานวิจัย ร้อยละ 58 ไม่รู้จักพินัยกรรมชีวิต (Living Will) และไม่สนใจที่จะทำ
“มันเหมือนสะท้อนว่าคนกลุ่มนี้ไม่ได้เตรียมการ แต่ถ้าวิเคราะห์แล้ว การทำพินัยกรรมชีวิตเป็นเรื่องที่ใหม่มาก เพิ่งเกิดขึ้นเมื่อปี 2550 คนกลุ่มนี้เขาก็จะมีอายุราวๆ 80 – 90 ปี การเข้าถึงข่าวสารก็จะน้อยมาก และมันไม่ใช่เรื่องที่ทำกันได้ง่ายๆ หากให้อธิบายตอนนี้ ความสามารถในการทำความเข้าใจของพวกเขาก็ไม่ได้เท่าเดิมจึงไม่ได้ทำ”
วิธีการเตรียมตัวสำหรับวาระสุดท้ายของชีวิตสำหรับผู้สูงวัยร้อยปีจึงเป็นการพูดคุยสื่อสารในครอบครัวและการเตรียมใจ
“คนร้อยปีมีวิถีการดำเนินชีวิตเกี่ยวกับวาระสุดท้ายในรูปแบบของการเจริญสติ อย่างยุคเรา เราก็จะมองเรื่องภาระ เช่น บ้าน รถ ทรัพย์สิน แต่คนร้อยปีเขาพร้อมจะไปทุกขณะจิต มีการพูดคุยกับครอบครัว และส่วนใหญ่พูดตรงกันว่า ไม่มีอะไรคั่งค้างในใจแล้ว ไม่กังวล และไม่นึกเสียดาย บัดนี้ได้ทำชีวิตมาอย่างสมบูรณ์แล้ว”

ยังคงไม่อยากแก่ แต่ก็ไม่อยากแก่ไปอย่างไร้คุณภาพ
อาจารย์แหวนเล่าว่า สิ่งที่ได้เรียนรู้จากงานวิจัยชิ้นนี้มี 2 อย่างด้วยกัน และเป็นเรื่องที่ย้อนแย้งซึ่งกันและกัน นั่นก็คือ การได้เรียนรู้ว่าตัวเองไม่ปรารถนาจะมีอายุยืนยาว แต่ก็ต้องเตรียมตัวรับความเป็นไปได้หากบังเอิญอายุยืน
“การอยู่กับงานนี้ทุกวันตอกย้ำให้เรารู้สึกว่าชัดเจนเลยว่า เราไม่ปรารถนาที่จะมีอายุยืนยาว และเรามองว่าการมีอายุยืนยาวก็อาจจะไม่ใช่คำตอบในชีวิตของคนทุกคนเสมอไป เนื่องจากชีวิตแต่ละคนมีเงื่อนไขไม่เหมือนกัน”
จากงานวิจัย อาจารย์แหวนพบว่าเงื่อนไขปัจจัยชีวิตของคนร้อยปีที่เจอแตกต่างจากตัวเองโดยสิ้นเชิง คนร้อยปีมีลูกมีหลักสิบคน อาศัยอยู่ในชุมชนที่เกื้อกูลต่อกัน แต่ครอบครัวของอาจารย์เป็นครอบครัวแบบ ‘มีคู่ มีรายได้ แต่ไม่มีบุตร (Double Income No Kid : DINK)’ และอาศัยอยู่ในเมืองที่สังคมมีความต่างคนต่างอยู่สูง
แต่การเรียนรู้ที่เข้ามายืนในฝั่งตรงข้ามกับความคิดที่อาจารย์แหวนมีอยู่แต่แรกเริ่มคือ งานวิจัยนี้ทำให้อาจารย์รู้สึกกังวลกับการใช้ชีวิตมากขึ้น กลัวว่าหากวันหนึ่งตัวเองร้อยปีขึ้นมา จะทำอย่างไร
“ถ้าบังเอิญเราร้อยปี แล้วเราไม่เคยระมัดระวังในการใช้ชีวิต สูบบุหรี่ ดื่มเหล้า พอร้อยปีขึ้นมาเราตายแน่ เราต้องเป็นคนร้อยปีที่พึ่งพิงคนอื่นแล้วติดเตียงแน่ๆ ”
อาจารย์แหวนจึงเปลี่ยนวิถีชีวิตของตัวเอง เริ่มทบทวนว่า คนร้อยปีเขาทำอะไรกันบ้าง เช่น คนร้อยปีกระฉับกระเฉง อาจารย์แหวนในตอนนี้ก็เลือกที่จะไม่ขึ้นลิฟต์ เดินขึ้นบันไดแทน เพื่อขยับร่างกาย และจากเดิมที่กินข้าวเร็ว ก็ปรับวิธีกินของตัวเองให้ช้าลง พร้อมทั้งเลือกกินในสิ่งที่มีประโยชน์ต่อร่างกาย
“เราไม่ได้อยากร้อยปี แต่เราเลือกไม่ได้ ไม่รู้โชคดีหรือโชคร้ายเกิดบังเอิญอายุยืนขึ้นมา ถ้ายังใช้ชีวิตแบบเดิม ภาพมันก็ชัดเลยว่า ฉันต้องไม่ได้เป็นคนร้อยปีแบบในงานวิจัยแน่ๆ”
