‘นิทานหมู่บ้านแห่งแสง’ หนังสือจาก ‘พลอย-สโรชา’ นักเขียนคนพิการทางการมองเห็นที่อยากให้เด็กตาบอดและเด็กตาดีอ่านด้วยกันได้
“พ่อเคยพาเรากับพี่สาวไปเที่ยวงานสัปดาห์หนังสือแห่งชาติ พี่สาวของเราก็เลือกหนังสือสนุกสนานมากเลย ได้หนังสือมาเป็นลัง แต่เราไม่ได้สักเล่มเลย”
‘พลอย’ สโรชา กิตติสิริพันธุ์ เล่าให้ฟัง พลอยเป็นคนพิการทางการเห็นที่ชอบหนังสือเป็นชีวิตจิตใจ แต่ไม่เคยได้เป็นเจ้าของหนังสือสักที ปัจจุบันพลอยเป็นผู้ก่อตั้งและบรรณาธิการสำนักพิมพ์ผีเสื้อปีกบางซึ่งเป็นหนังสือสำหรับคนพิการทางการมองเห็น
พลอยเล่าว่าตั้งแต่เด็กจนถึงตอนนี้เธอยังชอบอ่านหนังสือไม่เคยเปลี่ยนแปลง แต่สิ่งหนึ่งที่เธอพบเจอมาตลอดคือการขาดหนังสือสำหรับคนตาบอด พลอยเล่าว่าถ้าอยากอ่านหนังสือนอกเวลา เธอต้องยืมจากโรงเรียนสอนคนตาบอด ซึ่งหมายความว่าหนังสือเล่มนั้นก็จะอยู่กับเธอไม่นาน เธอหยิบยืมมาได้ แต่ไม่ได้เป็นเจ้าของ
“เราไม่สามารถเป็นเจ้าของหนังสือที่เราชอบได้”
หนังสืออ่านเล่นของคนตาบอด มักจะเป็นหนังสือที่มาจากนิยายของคนตาดี เช่น เจ้าชายน้อย เจ้าหงิญ และหนังสือเหล่านี้ก็ถูกนำมาทำเป็นตัวอักษรเบรลล์ เพื่อให้คนตาบอดอ่านด้วยได้ แต่หนังสือที่มีตัวอักษรเบรลล์ไม่ได้หาอ่านได้ง่ายๆ แถมราคาก็สูงเพราะหน้ากระดาษมากขึ้นและหนาขึ้น
จริงๆ ตัวเลือกหนังสือสำหรับคนตาบอดไม่ได้มีแค่หนังสือที่มีอักษรเบรลล์ แต่ยังมีหนังสือเสียง ที่จะมีเสียงบรรยายไปด้วย ซึ่งขึ้นอยู่กับความชอบของแต่ละคน แต่พลอยบอกว่าเธอชอบที่จะอ่านหนังสืออักษรเบรลล์มากกว่าหนังสือเสียง เพราะมันทำให้เธอจดจ่อกับหนังสือได้มากขึ้น
“การฟังหนังสือเสียง บางทีเราไม่ทันได้คิดกับมัน สมมติเราเดินไปทำนู่นทำนี่ เราก็ไม่ได้ยิน เราใจลอยได้ แต่ว่าการอยู่กับตัวหนังสือจะทำให้เราค่อยๆ อ่านได้”
พลอยเล่าว่าเธอแอบอิจฉาพี่สาวอยู่บ้าง ที่บางทีก็สามารถหยิบหนังสือขึ้นมาอ่านที่ไหนก็ได้ ไม่ว่าจะเป็นรถไฟฟ้า สวนสาธารณะ หรือคาเฟ่ แต่สำหรับคนตาบอด ถ้ามีแต่หนังสือเสียงก็ต้องเปิดเสียงฟัง ซึ่งอาจจะรบกวนคนรอบข้าง หรือถ้าใส่หูฟัง ก็ยังไม่ได้อรรถรสเท่ากับการหยิบหนังสือขึ้นมาอ่านอยู่ดี
หนังสือเบรลล์กับหนังสือธรรมดา เมื่อวางเทียบกันแล้วจะเห็นได้ชัดเจนเลยว่าต่อให้เนื้อหาเหมือนกัน แต่ความหนาและความหนักจะไม่เท่ากัน เพราะหนังสือเบรลล์จะหนักกว่าอย่างแน่นอน พลอยบอกว่านวนิยายชื่อดังอย่าง ‘แฮร์รี่พอตเตอร์’ ถ้าเป็นหนังสืออักษรเบรลล์จะหนาและใหญ่หนังสือแบบปกติมาก
เพราะความรักในการอ่านและอยากให้เด็กๆ ตาบอดได้รักในการอ่านด้วยเหมือนกัน พลอยจึงทำงานอยู่ในวงการหนังสือ ซึ่งหนังสือที่พลอยเขียนออกมาล่าสุดคือ ‘นิทานหมู่บ้านแห่งแสง’ หนังสือนิทานสำหรับเด็กตาดีและตาบอด ที่จะพาทุกคนไปสัมผัสความหมายของ ‘แสง’ ผ่านแรงบันดาลจากการลงพื้นที่ไปใช้ชีวิตกับชาวปกาเกอะญอ ณ หมู่บ้านพระบาทห้วยต้ม จังหวัดลำพูน
‘แสง’ สิ่งที่ไม่ต้องเห็นก็สัมผัสได้
ตัวละครหลักของนิทานหมู่บ้านแห่งแสงคือ ‘เจ้าแมวสามสี’ ซึ่งเป็นแมวที่มีอยู่ในจริงในหมู่บ้านพระบาทห้วยต้ม พลอยแนะนำว่าถ้าใครไปจะได้เจอเจ้าแมวนี้แน่นอน
นิทานเรื่องนี้จะตามไปดูการผจญภัยของเจ้าแมวที่วิ่งวนอยู่ในหมู่บ้าน ระหว่างทางเจ้าแมวจะพาไปคุยกับชาวบ้าน สัตว์ประหลาด หรือแม้กระทั่งเจดีย์ ตลอดบทสนทนาที่เกิดขึ้นจะทำให้เราเรียนรู้บางอย่าง พร้อมทั้งเข้าใจความหมายของ ‘แสง’ ที่ถือเป็นคีย์เวิร์ดสำคัญของนิทานเรื่องนี้
“วิถีชีวิตของชาวบ้านไม่ถูกพูดถึงมากเท่าไหร่ เราอยากให้เด็กๆ ที่ได้อ่านเห็นว่า ในวิถีชีวิตที่เรียบง่ายแบบนี้มันมีความสวยงามซ่อนอยู่ และเราสามารถค้นพบตัวเองได้ด้วย”
พลอยขอไม่เฉลยตอนนี้ว่า ‘แสง’ ในนิยามของหนังสือเล่มนี้คืออะไร เพราะอยากให้ทุกคน ไม่ว่าจะตาดี หรือพิการทางการเห็น ลองมาอ่านและค้นพบคำๆ นี้ด้วยตัวเอง
ความสวยงามที่ไม่จำเป็นต้องใช้ตามองเพียงอย่างเดียว
หมู่บ้านพระบาทห้วยต้ม จังหวัดลำพูน เป็นชุมชนของชาวปกาเกอะญอ ที่เต็มไปด้วยวัฒนธรรมและวิถีชีวิตที่มีเอกลักษณ์ นอกจากนี้ที่นี่ยังเป็นหมู่บ้านมังสวิรัติแห่งเดียวของประเทศไทยอีกด้วย พลอยเล่าด้วยความตื่นเต้นว่าตอนที่เธอมาที่ชุมชนแห่งนี้ เธอได้ลองอาหารใหม่ๆ แบบที่ไม่เคยมาก่อน
ในการเดินทางครั้งนี้พลอยไม่ได้ไปคนเดียว เธอไปกับเพื่อนคนตาบอดและคนตาดีด้วยกันหลายชีวิต นี่คือการเดินทางที่เกิดมาจากความตั้งใจของ ‘จอย’ ฐิตาภา ตันสกุล เจ้าของโครงการ ‘เรื่องเล่าจากหมู่บ้านแห่งแสง’ ที่มีเป้าหมายเพื่อเชื่อมโยงประสบการณ์ของคนตาดีและคนตาบอดเข้าด้วย ผ่านการสัมผัสชีวิตที่เรียบง่ายของกลุ่มชาติพันธุ์
3 วันของการลงพื้นที่ครั้งนี้ พลอยเล่าว่าเธอได้เจอประสบการณ์ใหม่ๆ มากมาย เริ่มต้นจากเมนูอาหารมังสวิรัติ เช่น ขนมจีนน้ำยาเต้าหู้ หมึกดอยทอดที่ทำมาจากเห็ด ทานอาหารเสร็จก็ได้ไปดูพื้นที่วัฒนธรรมของชาวบ้านที่ศูนย์หัตกรรมบ้านห้วยต้มซึ่งเป็นแหล่งสะสมผลงานของชาวปกาเกอะญอไว้ที่นี่ พลอยเล่าว่าในชุมชนก็มีคนพิการทางการมองเห็นเหมือนกัน ซึ่งพวกเขาก็ใช้ชีวิตอย่างปกติ แถมยังสามารถทอผ้าสวยๆ ออกมาให้เราได้สัมผัสกันอีกด้วย
“เราอยากเชื่อมโยงในหลายๆ อย่าง ตอนคนตาดีไปนิทรรศการเขาก็จะได้รับสารที่แตกต่างกันออกไป หลักๆ คือการทำให้ฉุกคิดว่า บางทีเราลืมอะไรไปหรือเปล่า เรามองสิ่งที่สวยงามผ่านสายตาอย่างเดียว ทั้งๆ ที่เราสามารถสัมผัสความสวยงามนั้นผ่านมิติอื่นๆ ได้อีกนะ”
จอยกล่าวพร้อมยกตัวอย่าง ‘ต้นพะยอม’ ให้เราฟัง ระหว่างการเดินทางมีเพื่อนตาดีเห็นว่ามีต้นพะยอมตั้งตระหง่าน ดอกสีขาวสวยสะพรั่ง เขาเลยอยากจอดรถและแวะถ่ายรูปกับพะยอมต้นนี้สักหน่อย แต่การเดินทางครั้งนี้มีคนพิการทางการมองเห็นไปด้วย เพื่อนๆ ตาดีจึงทำหน้าที่อธิบายว่าต้นไม้นี้มันสวยยังไง สวยเพราะอะไร
“เรามองเห็นต้นพะยอมที่มีดอกขาวโพลนอยู่ข้างบน แล้วดอกมันกำลังร่วงโรยลงมา ทำให้พื้นกลายเป็นพื้นสีขาว ซึ่งเราก็ตื่นเต้นไปในช่วงแรก แล้วเราก็จบอยู่แค่นั้น แต่คนตาบอดเขาจะถามว่า มันสวยยังไง เขาค่อยๆ ใช้เวลาในการไปสัมผัสจริงๆ”
จอยบอกอีกว่าความสวยงามไม่จำเป็นต้องมองเห็นได้ด้วยตาอย่างเดียว แต่เราสามารถใช้วิธีอื่นๆ รับรู้ความสวยงามของธรรมชาติ เช่นเดียวกันกับคนพิการทางการมองเห็นที่ลงไปสัมผัสต้นไม้จริงๆ ฟังคำอธิบายของคนอื่น และนึกภาพตาม
“ทุกคนจะรู้สึกว่าสนุกกับการได้ดูต้นพะยอม แต่พลอยว่าอีกหนึ่งความสวยงามก็คือช่วงเวลาที่คนตาดีและคนตาบอดมาดูต้นพะยอมด้วยกัน”
พลอยจึงหยิบเอาต้นพะยอมเข้ามาในใส่ในนิทานหมู่บ้านแห่งแสงอีกด้วย
นิทานเรื่องนี้ถูกออกแบบมาให้เด็กพิการทางการมองเห็นและเด็กตาดีอ่านร่วมกันได้ เป็นไปได้ว่าพลอยเองก็อยากแบ่งปันโมเมนต์ที่สวยงามของการใช้เวลาร่วมกัน เหมือนกับที่เธอได้ใช้เวลาไปพร้อมกับคนตาดีในการดูต้นพะยอม
สำหรับใครที่สนใจนิทานหมู่บ้านแห่งแสง หนังสือเล่มนี้ประกอบไปด้วยภาษาไทย ภาษาอังกฤษ และอักษรเบรลล์ สามารถสอบถามรายละเอียดได้ที่ Facebook Page สำนักพิมพ์ผีเสื้อปีกบาง