แย่งงานคนไทย? เข้ามาอยู่ฟรี? ทำร้ายนายจ้าง? ถ้าสิ่งที่ถูกส่งทอดกันมาเป็นเพียงแค่อคติ แล้วความจริงคืออะไร
ปลาที่เรากิน ร้านอาหารที่เราต้องจองล่วงหน้า คอนโดที่เราผ่อนอยู่ทุกเดือน
ใครกันที่อยู่เบื้องหลังชีวิตประจำของเรา?
พวกเขาก็คือ แรงงานข้ามชาติ หรือประชากรข้ามชาตินั่นเอง พวกเขาทำประมงอยู่เบื้องหลังปลาที่เราเห็นบนโต๊ะอาหาร เป็นพนักงานที่คอยเสิร์ฟ รวมถึงเป็นคนสร้างคอนโดที่เราอยู่กันด้วย
ข้อมูลจากสำนักบริการแรงงานต่างด้าว กระทรวงแรงงาน ระบุว่าในเดือนธันวาคม 2567 ประเทศไทยมีแรงงานข้ามชาติทั้งหมด 3,350,673 คน ส่วนใหญ่คือแรงงานกลุ่ม CLMV (กัมพูชา ลาว พม่า เวียดนาม)
เราเดินสวนกับเขาในร้านอาหารบ้าง ในโรงแรมบ้าง ถึงแม้เราจะคุ้นเคยกับพวกเขามากแค่ไหน แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าอคติต่อแรงงานข้ามชาติคือสิ่งที่เกิดขึ้นตั้งแต่ในอดีต และในปัจจุบันก็ยังคงอยู่
พวกเขามาแย่งงานคนไทยบ้าง ใช้ภาษีคนไทยบ้าง หรือทำร้ายคนไทย…
อคติแบบนี้ไม่ได้เกิดขึ้นแต่ในประเทศไทย อย่างในสหรัฐอเมริกาก็ไม่ต่างกัน ประกอบกับสหรัฐฯ กำลังจะมีท่าทีต่อผู้อพยพหรือประชากรข้ามชาติที่แข็งกร้าว ยิ่งสะท้อนให้เห็นอคติที่คนไทยมีต่อประชากรข้ามชาติมากยิ่งขึ้น
ล่าสุดโดนัลด์ ทรัมป์ พึ่งเข้ารับตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐฯ ไปเมื่อวันที่ 20 ม.ค. ที่ผ่านมา สิ่งหนึ่งที่เขาทำทันทีที่ได้รับตำแหน่ง คือ การขับเคลื่อนนโยบายเนรเทศผู้อพยพผิดกฎหมายครั้งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ ไม่ว่าจะเป็นการยกเลิกสัญชาติให้กับเด็กที่เกิดมาโดยพ่อแม่เข้าเมืองผิดกฎหมาย ยกเลิกแอปพลิเคชัน CBP One ซึ่งเป็นแอปพลิเคชันที่ผู้อพยพใช้จองการนัดหมายแสดงตัวที่ด่านตรวจคนเข้าเมือง ส่งผลให้ตอนนี้มีผู้อพยพที่จองคิวไว้ค้างอยู่เป็นจำนวนมาก หรือแม้กระทั่งการพยายามรื้อฟื้นโครงการ ‘Remain in Mexico’ ที่บังคับให้ผู้อพยพที่ไม่ได้มาจากเม็กซิโก ต้องรอผลพิจารณาการเข้าสหรัฐฯ ที่เม็กซิโกเท่านั้น
ถึงแม้จะเป็นการเคลื่อนไหวของประเทศอื่น แต่ก็มีความคิดเห็นจากคนไทยจำนวนไม่น้อยที่สะท้อนให้เห็นถึงอคติบางอย่าง เช่น “เมื่อไหร่ไทยจะทำบ้าง” “ทุกวันนี้คนไทยอยู่บางพลเมืองชั้นสอง โดนแย่งงานไปหมด” “ประเทศไทยควรทำบ้างนะ โดนต่างด้าวยึดไปหมดแล้ว”
อคติเหล่านี้ไม่ใช่เรื่องใหม่ ‘ชูวงศ์ แสงคง’ นักขับเคลื่อนเรื่องแรงงานข้ามชาติ คือหนึ่งคนที่เห็นอคติเหล่านี้ถูกส่งต่อซ้ำไปซ้ำมา ความน่ากลัวของอคติเหล่านี้ คือ การที่มันตัดโอกาสคุณภาพชีวิตที่ดีของประชากรข้ามชาติ เช่น กรณีที่มีคนจำนวนไม่น้อยคัดค้านการให้สัญชาติกลุ่มอพยพและบุตรที่เกิดในประเทศไทย จริงอยู่ว่าคณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแล้ว แต่ไม่แน่ว่าในอนาคต เมื่ออคติเหล่านี้ถูกผลิตซ้ำอีก นโยบายที่มีต่อประชากรข้ามชาติก็อาจจะเปลี่ยนไปในทางลบ
ถ้าสิ่งที่ถูกส่งทอดกันมาเป็นเพียงแค่อคติ แล้วความจริงคืออะไร? ชูวงศ์ แสงคง อธิบายเรื่องนี้ไว้ในเวทีวงทอล์ก ‘Face the Changer : 4 เสียงเปลี่ยนอคติให้เป็นโอกาส ถอดบทเรียนนักขับเคลื่อนนโยบาย ที่ทำเรื่องเล็กให้เป็นเรื่องใหญ่ จนกลายเป็นวาระแห่งชาติ’
นี่คือหนึ่งในกิจกรรมจากงาน ‘FACE THE VOICE’ มองด้วยตา ฟังด้วยใจ ไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง เมื่อวันที่ 23 พ.ย. 2567 ที่ผ่านมา
3 อคติที่คนไทยยังมีต่อแรงงานข้ามชาติ
“เวลาเราพูดถึงอคติต่อแรงงานข้ามชาติ มันไม่ใช่แรงงานที่เป็นกลุ่มตาสีฟ้า แต่มักจะหมายถึงแรงงานที่เป็นคนจากประเทศเพื่อนบ้าน ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าทำไม”
น่าสนใจตรงที่เวลาเราพูดถึงแรงงานข้ามชาติ เรามักจะนึกถึงแรงงานจากประเทศบ้านใกล้เรือนเคียง ซึ่งคนส่วนใหญ่เองก็จะมีอคติกับคนกลุ่มนี้ แต่ในทางกลับกันเรามักจะไม่ค่อยเห็นอคติต่อกลุ่มแรงงานที่เป็น ‘ฝรั่ง’ สักเท่าไหร่
ชูวงศ์แบ่งอคติที่คนไทยมีต่อประชากรข้ามชาติไว้ทั้ง 3 แบบ อย่างแรกคือ แรงงานข้ามชาติเข้ามาแย่งงานคนไทย
“ขาดเขาแล้วเราจะรู้สึก” คือประโยคที่ชูวงศ์พูดเป็นประจำ เหตุผลที่ต้องพูดประโยคนี้เป็นเพราะว่าแรงงานข้ามชาติ ได้รับการผ่อนผันให้เข้ามาทำแต่งานที่คนไทยไม่ทำกันทั้งนั้น ไม่ว่าจะเป็น งานยาก งานลำบาก งานสกปรก เช่น ประมง เลี้ยงสัตว์ กสิกรรม ก่อสร้าง เป็นต้น ในขณะเดียวกันประเทศไทยเองก็มีประกาศกระทรวงแรงงาน กำหนดงานห้ามคนต่างด้าวทำเอาไว้แล้ว
“ช่วงที่แรงงานข้ามชาติเข้ามาทำงานแรกๆ เขาเข้ามาแค่ 10 จังหวัด แต่เป็นเพราะการเรียกร้องของกลุ่มผู้ประกอบการที่ต้องใช้แรงงาน ก็ขยายจาก 10 เป็น 30 เป็น 40 จังหวัด และกระจายไปทั่วประเทศในปี 2544 จะเห็นว่า ไม่ใช่อยู่ๆ ก็มากันเต็มประเทศไทย แต่มีการร้องขอและมีการคุยกันระหว่างกลุ่มของผู้ประกอบการ ภาคธุรกิจของประเทศไทยตอนนั้นที่ขาดแคลนแรงงานในส่วนของงานยาก งานลําบาก เลยทําให้ ณ ปัจจุบันก็ขยายและอยู่กันทั่ว”
แม้แต่ มติคณะรัฐมนตรีที่ผ่อนผันให้แรงงานต่างชาติทำงานในประเทศไทยได้ ครั้งหลังสุด ก็ยังให้เหตุผลของการผ่อนผันว่า “เพื่อบริหารจัดการการทำงานของคนต่างด้าวให้เพียงพอต่อความต้องการจ้างแรงงาน ของภาคธุรกิจ “
เพราะฉะนั้นการมีแรงงานข้ามชาติก็เหมือนเป็นการขับเคลื่อนเศรษฐกิจไปในตัว เนื่องจากพวกเขาก็เป็นเรี่ยวแรงสำคัญที่ทำให้การซื้อขาย ตลาด โรงงาน เดินหน้าต่อไปได้ ในขณะเดียวกันเราอาจจะไม่ต้องกังวลเรื่องที่เขาจะมาแย่งงาน เพราะประเทศในก็มีการสงวนอาชีพบางอย่างให้กับคนไทยโดยเฉพาะอยู่แล้ว
“มันไม่ใช่ว่าแรงงานข้ามชาติอยากจะมาแสวงประโยชน์จากเราอยู่ฝ่ายเดียวหรอก แต่ว่ามันเป็นเงื่อนไขความจําเป็นทางเศรษฐกิจ และสังคม ในยุคหนึ่งแรงงานไทยก็อพยพไปทํางานต่างประเทศเหมือนกัน ทุกคนก็วิ่งดิ้นรนหาโอกาสทางเศรษฐกิจเหล่านี้ทั้งนั้น”
อคติอย่างที่สอง คือ ประชากรข้ามชาติเข้ามาอยู่ไทยฟรีๆ เข้ามาใช้ภาษีของคนไทย โดยที่ไม่ต้องเสียอะไรเลย
จริงอยู่ที่เขาไม่ต้องจ่ายภาษีแบบคนไทย แต่ความเข้าใจที่ว่าพวกเขามาอยู่ฟรี กินฟรีที่นี่ คงจะไม่ถูกต้องเสียทีเดียว ชูวงศ์บอกว่า ประชากรข้ามชาติต้องเสียเงินอย่างน้อย 3,000 บาทต่อปี ให้กับค่าใบอนุญาตทำงาน ค่าประกันสุขภาพ ค่าวีซ่า เป็นต้น ยังไม่รวมค่าใช้จ่ายอื่นๆ เพื่อที่จะทำให้พวกเขาอยู่ที่ประเทศไทยได้
“ที่กล่าวเป็นนี้เป็นแค่ค่าใช้จ่ายอย่างเป็นทางการ แต่มันยังมีรายจ่ายอื่นๆ อีกที่พวกเขาจะต้องจ่ายเพื่อที่จะใช้ชีวิตสงบสุขอยู่ที่นี่ได้”
ชูวงศ์เสริมต่อว่า ในส่วนของภาษีเงินได้ ที่ผู้คนพูดถึงกันว่า แรงงานต่างชาติไม่ได้จ่ายภาษีให้ประเทศไทยจริงๆ แล้วมันเป็นหน้าที่ของนายจ้างที่ต้องหักเงินจากรายได้ของลูกจ้างเพื่อไปจ่ายภาษีเงินได้ แต่นายจ้างไม่ได้หักนำส่ง ซึ่งเข้าใจว่าเป็นเพราะส่วนมากรายได้ของแรงงานข้ามชาติไม่ได้สูงพอที่จะถึงเกณฑ์ต้องจ่ายภาษี
และอคติอย่างที่สาม คือ แรงงานข้ามชาติทำร้ายนายจ้าง ซึ่งความคิดแบบนี้พบได้ตามหน้าสื่อ ชูวงศ์มองว่า เรามักเห็นข่าว พระทำไม่ดี ตำรวจทำไม่ดีอยู่บ่อยๆ ในขณะที่พระทำดี ตำรวจทำดี เราไม่ค่อยเห็นตามหน้าข่าว จึงไม่แปลกที่เราจะเห็นข่าว “แรงงานต่างชาติก่อเหตุทะเลาะวิวาท” “แรงงานเมียนมาบุกยิงนายจ้าง” แต่เราไม่ค่อยเห็นข่าวแรงงานต่างชาติเข้าวัดทำบุญ
“ทุกสังคมมีทั้งคนดีและก็คนไม่ดี คนไม่ดีก็ต้องจัดการไป แต่ว่าเราแน่ใจว่ามีคนดีมากกว่าคนไม่ดี เพราะแบบนี้เขาเลยอยู่ได้”
หลายสิบปีที่ชูวงศ์ทำงานขับเคลื่อนเรื่องแรงงานข้ามชาติ วันนี้เขาก็ยังเห็นอคติพวกนี้อยู่ มันกลายเป็นชุดความคิดที่ถูกส่งต่อกันจากรุ่นสู่รุ่น แถมไม่เคยมีใครคิดจะหาว่าอคติหรือสิ่งที่เราเชื่อเหล่านี้คือความจริงหรือไม่
หรือแค่เพราะว่าเขาต่างกับเราโดยสัญชาติ เราเลยเชื่ออย่างไรก็ได้ โดยไม่สนใจในความเป็นมนุษย์ของกันและกัน
ทำงานกับเขาเพื่อป้องกันเราด้วย
ในเมื่อทุกคนต่างมาอยู่ในพื้นที่เดียวกันแล้ว แทนที่จะคอยผลักแรงงานข้ามชาติให้เป็นคนอื่น ลองเปลี่ยนมามองเขาว่าเป็นมนุษย์คนหนึ่งเหมือนกับเรา และอยู่ร่วมกันอย่างพึ่งพากันจะดีกว่าไหม?
นี่คือแนวคิดหนึ่งที่ชูวงศ์นำเสนอ เพราะประสบการณ์จากการทำงานที่ผ่านมา มันได้บอกเขาแล้วว่า การผลักไสให้ประชากรข้ามชาติเป็นคนอื่นไม่ได้ก่อผลดี ซ้ำเกิดผลกระทบที่เสียหายต่อตัวเราเองอีกด้วย
“เริ่มต้นมาจากเมื่อปี 2533-2534 เราได้รับเชิญให้ไปช่วยทำงานแก้ปัญหาเรื่องวัณโรค และโรคเอดส์ในกลุ่มแรงงานข้ามชาติ ที่เข้ามาทำงานในประเทศไทย เพราะทางราชการเข้าไปทำงานกับแรงงานผิดกฎหมายไม่ได้เราได้รับการติดต่อจากทางสํานักงานสาธารณสุขที่สงขลา จากนั้นก็ระนอง เมื่อเข้าไปแล้วเราก็คุยกันกับทีมว่า ‘นี่คือการทํางานกับเขาเพื่อป้องกันเราด้วยนะ’ เพราะว่าโรคติดต่อ มันไม่ขอดูพาสปอร์ต มันไม่ขอดูบัตรประชาชน มันสามารถติดต่อไปได้หมด ทุกคนที่ไปเกี่ยวข้องกับโรค”
หรือแม้กระทั่งในช่วงที่มีการแพร่ระบาดของโควิด-19 ที่ผ่านมา ชูวงศ์เล่าว่า ถ้าหากขาดอาสาสมัครที่เป็นประชากรข้ามชาติไป เหตุการณ์คงจะเลวร้ายกว่านี้ เหตุการณ์ในบางพื้นที่ควบคุมได้เพราะเราเปิดโอกาสให้แรงงานเข้าถึงการรักษาและดูแล ชูวงศ์มองว่า win-win ทั้งคู่
แต่ถ้าเราไม่ช่วยพวกเขาเลย ลองคิดดูว่า เราจะสบายใจอยู่ไหมถ้ารู้ว่ากำลังอยู่ร่วมกับคนที่มีโรคติดต่อ เพราะพวกเขาเข้าถึงการรักษาไม่ได้? เราจะสบายใจไหมถ้าเห็นคนในรุ่นของลูกตัวเองไม่ได้เข้าเรียน เพราะเข้าถึงการศึกษาไม่ได้? นี่คือคำถามที่ชูวงศ์ฝากไว้ให้ทุกคนได้คิด
ถ้าหากคำตอบคือไม่สบายใจ ในฐานะมนุษย์ด้วยกัน เราคงไม่ขับไล่พวกเขาเหล่านั้นออกไป แต่มันจะดีกว่าไหมถ้าเข้าไปส่งเสริมให้พวกเขาเข้าถึงการรักษาที่ดี และสนับสนุนให้ลูกหลานของแรงงานชาติข้ามได้เรียนหนังสือ
พึ่งพาอาศัยกัน คงเป็นการอธิบายสถานการณ์แรงงานข้ามชาติในประเทศไทยได้มากที่สุด ถ้าที่นี่คือบ้าน ก็คงเป็นบ้านหลังใหญ่ที่มีผู้คนในบ้านหลากหลาย เพราะฉะนั้นการขับเคลื่อนเพื่อสิทธิประชากรข้ามชาติที่ชูวงศ์ทำอยู่ จึงเป็นการออกแบบบ้านให้อยู่กันได้ทุกคน อยู่ด้วยกันได้แบบไม่มีใครต้องเสียเปรียบ ไม่ใช่การเห็นใครแตกต่างก็ผลักเขาออกไป
Lorem ipsum dolor sit amet, consectetur adipiscing elit. Ut elit tellus, luctus nec ullamcorper mattis, pulvinar dapibus leo.