งานคือเงิน เงินคืองาน บันดาลบ้าน : ฟังเสียงคนไร้บ้านที่อยากทำงาน

รู้หรือไม่? เดือนตุลาคมมีวันสำคัญอีกวันหนึ่งด้วยนะ นั่นก็คือ ‘วันคนไร้บ้านสากล (World Homeless Day)’ คือวันที่ 10 ตุลาคม ของทุกปี

วันนี้ถูกสร้างขึ้นเพื่อให้สังคมตระหนักถึงการมีอยู่ของคนไร้บ้าน และร่วมกันแก้ไขปัญหารวมไปถึงสร้างโอกาสให้พวกเขาหลุดพ้นจากการเป็นคนไร้บ้าน

คนไร้บ้านคือกลุ่มคนที่ถูกพูดถึงบ่อยครั้ง แต่พวกเขาก็หนีจากการถูกตีตราว่าเป็นคนขี้เกียจหรือคนเร่ร่อนไม่ได้สักที ทั้งๆ ที่ในความเป็นจริง คนไร้บ้านหลายคนต้องการพึ่งตัวเองและตั้งใจที่จะหางาน หารายได้ แต่เพราะพวกเขาเป็นคนไร้บ้านทำให้หางานยากกว่าคนทั่วไป

ด่านแรกๆ ของการมีงานทำ คือ การสัมภาษณ์งาน สำหรับคนไร้บ้านที่ไม่มีที่พัก ไม่มีห้องน้ำ และไม่มีเสื้อผ้าเรียบร้อย เป็นเรื่องยากสำหรับพวกเขาที่จะดูดีในแบบที่นายจ้างต้องการได้ ยิ่งถ้าจะต้องเจอคำถามเรื่องหลักแหล่งเพื่อติดต่อ คนไร้บ้านก็จะตอบคำถามนี้ลำบาก จึงมีโอกาสน้อยมากๆ ที่จะได้งาน

ทำให้งานที่พวกเขาทำจึงเป็นงานอิสระ สร้างรายได้แค่ชั่วคราวและยังไม่ค่อยมีความมั่นคง ไม่ว่าจะเป็น รับจ้างต่อคิวซื้อของ รับจ้างรับพระ หรือรับจ้างทั่วไป แต่พวกเขาก็ยินดีที่จะทำเพราะเป็นงานสุจริต และสร้างรายได้ที่นำไปประคองชีวิตได้

และวันนี้เป็นวันคนไร้บ้านสากล เราจึงได้พาเสียงของคนไร้บ้านและผู้คนที่เกี่ยวข้องมานำเสนออีกครั้ง เพื่อพาทุกคนไปเข้าใจพวกเขามากยิ่งขึ้น

คำถามสัมภาษณ์งานแบบไหนที่คุณเจอแล้วกังวลที่สุด?

ไม่ว่าจะเป็น มองเห็นตัวเองในอีก 10 ปีข้างหน้าอย่างไร? อะไรคือข้อดีและข้อเสียของคุณ? นี่อาจจะเป็นคำถามที่ใครหลายคนกังวล แต่สำหรับคนไร้บ้าน มันคือคำถามสั้นๆ แค่ “พักอยู่ที่ไหน?”

ถ้าตอบว่าไม่มีที่อยู่ก็เป็นไปได้ว่านายจ้างจะไม่รับเข้าทำงาน ต่อให้พวกเขาจะเป็นคนที่ขยันและมีความมุ่งมั่นขนาดไหนก็ตาม การไม่มีที่อยู่ก็อาจเป็นหนึ่งเหตุผลที่ทำให้คนไร้บ้านหลายคนไม่สามารถมีอาชีพที่มั่นคงได้

“เวลาเราไปทำงาน สิ่งแรกที่นายจ้างจะถามเราคือบ้านอยู่ไหน ถ้าคนที่ไม่มีห้อง เขาก็ต้องนอนริมคลอง รับรองว่านายจ้างทุกคนเขารับไม่ได้หรอก แต่พอมีห้อง เราสามารถตอบได้เต็มปากว่าเช่าห้องอยู่ตรงนี้”

‘เพียว (นามสมมติ)’ คนไร้บ้านจากโครงการที่อยู่อาศัยคนละครึ่งกล่าว เพียวอาศัยอยู่ที่ห้องเช่าอยู่แถวหัวลำโพง บริเวณตรอกสลักหิน โดยผู้พักอาศัยจะได้จ่ายเงินแค่ 60% และอีก 60% จะได้รับการสนับสนุนโดยโครงการฯ ส่วนอีก 20% ที่เหลือจะนำไปเป็นเงินสมทบทุนเพื่อช่วยเหลือเพื่อนสมาชิกคนไร้บ้านคนอื่นๆ ต่อ

คำถามที่ว่า “พักอยู่ไหน” คงจะไม่ใช่คำถามที่ทำให้เพียวกังวลต่อการสัมภาษณ์งานอีกต่อไป เพราะวันนี้เธอมีที่อยู่อาศัยที่แน่นอนแล้ว และนอกจากการมีที่พักพิง เธอยังได้เพื่อน พี่น้อง และครอบครัวใหม่ๆ จากที่แห่งนี้อีกด้วย

“นี่คือบ้านหลังใหญ่ที่เราอยู่ด้วยกันเป็นครอบครัว พวกเราดูแลกันและกัน”

จากคนแปลกหน้า กลายเป็นเพื่อนบ้าน และท้ายที่สุดก็คือครอบครัว ชีวิตใหม่ของพวกเขาค่อยๆ เริ่มต้นใหม่ได้อีกครั้งหลังจากการมีสถานที่อบอุ่นที่เรียกได้เต็มปากว่า ‘บ้าน’

อ่านเรื่องราวของเพียวต่อได้ที่ https://section09.thaihealth.or.th/2022/10/20/sharehouse/

คนไร้บ้านหลายคนอยากมีอาชีพที่มั่นคง แต่บางครั้งงานประจำก็เป็นงานประเภทที่พวกเขาไม่สามารถเข้าถึงได้ เพราะมีปัญหาเรื่องที่พักอาศัย อาชีพอิสระจึงเป็นอาชีพที่พวกเขาทำได้เพื่อประทังชีวิตและตั้งตัว

รับจ้างต่อคิว คือ หนึ่งในอาชีพอิสระของคนไร้บ้าน เนื่องจากเป็นงานที่ทำได้ไวและได้เงินโดยใช้เวลาไม่นาน แต่ก็ใช่ว่าการรับจ้างต่อคิวจะทำได้ง่าย เพราะแต่ละขั้นตอนก็มีอุปสรรคที่คาดไม่ถึง

‘พิม (นามสมมติ)’ คนไร้บ้านที่ทำอาชีพรับจ้างต่อคิว นอกจากนี้เธอยังเป็นแกนนำคนไร้บ้านในโครงการที่อยู่อาศัยคนละครึ่งอีกด้วย จากการที่เคยเป็นคนรับจ้างอย่างเดียว ตอนนี้พิมมีอีกหน้าที่ก็คือแจ้งข่าวสารเรื่องงานต่อคิวให้กับเพื่อนๆ คนไร้บ้านคนอื่นๆ เพื่อที่จะให้ทุกคนมีโอกาสเข้าถึงรายได้เหมือนกัน

รับจ้างต่อคิว ดูเผินๆ อาจเป็นอาชีพที่ง่าย แค่ไปยืนเฉยๆ ถึงเวลาก็รับสินค้า รับเงิน แล้วก็จบ แต่ในความเป็นจริงมันไม่ได้ง่ายขนาดนั้น

“คำว่า ‘ออกเดี๋ยวนี้’ ไม่ว่าคุณจะอยู่ที่ไหน สภาพยังไง ใส่รองเท้าแล้วออกเลย เพื่อที่จะไปรอหน้าห้าง มันอยู่ใกล้แค่นี้ เคาะเรียก วิ่งตามกัน แล้วนั่งแท็กซี่ไป”

เพราะรายได้คือสิ่งที่จำเป็นมากต่อคนไร้บ้าน ถ้าใครเร็วก็ได้งาน คนไร้บ้านหลายคนจึงต้องอยู่สถานะที่พร้อมตลอดเวลา หากมีงานต่อคิวด่วนเข้ามา พวกเขาต้องออกไปต่อคิวให้ได้ทันที

ยิ่งถ้าเป็นพวกสินค้าที่ยอดนิยมและมีจำนวนจำกัดมากๆ พวกเขาจำเป็นต้องนอนรอในบริเวณที่ใกล้ๆ ห้าง และอยู่ล่วงหน้าหลายวัน เพื่อที่จะได้คิวเป็นคนแรก

“เราต้องไปตั้งหัวคิวก่อน ไม่งั้นเราต้องไปต่อเขา ซึ่งบางทีต้องวิ่งแข่งกัน เราเคยไปซื้อนาฬิกาโดนเหยียบจนขาพลิก เพื่อที่จะเอาเงิน เพราะเงิน 1,000 มันสำคัญสำหรับพวกเรามาก งานวันนั้นวันเดียว เราได้ค่าห้องแล้ว”

การนอนรอคิวตามที่สาธารณะเป็นเวลาหลายวัน แลกกับเงิน 1,000 หรืออาจจะน้อยกว่านั้น เป็นเรื่องที่คนไร้บ้านยอมทำ และพวกเขาเชื่อว่าสักวันหนึ่งรายได้พวกนี้อาจจะเพิ่มพูนจนทำให้เขาหลุดพ้นจากการเป็นคนไร้บ้านได้

อ่านเรื่องราวของพิมต่อได้ที่ https://section09.thaihealth.or.th/2022/10/27/homeless-line-up/

51% ของจำนวนคนไร้บ้านมีบ้านให้กลับแต่พวกเขาเลือกที่จะไม่กลับ

ข้อมูลนี้มาจากโครงการแจงนับคนไร้บ้าน (One Night Count) เป็นความร่วมมือของสำนักสนับสนุนสุขภาวะประชากรกลุ่มเฉพาะ (สำนัก 9) สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ สถาบันเอเชียศึกษา จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กรุงเทพมหานคร มูลนิธิพัฒนาที่อยู่อาศัย มูลนิธิอิสรชน และมูลนิธิกระจกเงา

ข้อมูลล่าสุดเมื่อปี 2566 มีคนไร้บ้านในประเทศไทยเป็นจำนวน 2,499 คน โดย 51% มีบ้านให้กลับไป แต่พวกเขาเลือกที่จะไม่กลับ

เพราะบ้านอาจจะไม่ได้หมายถึงแค่ที่อยู่อาศัย แต่มันหมายถึงความสบายใจอีกด้วย ถ้าผู้อาศัยอยู่แล้วไม่สบายใจ อึดอัด พวกเขาจึงเลือกที่จะออกมาใช้ชีวิตข้างนอกมากกว่า

“คำว่าคนไร้บ้านไม่ใช่แค่ไม่มีที่อยู่อาศัย แต่เป็นเรื่องทางจิตใจ ประมาณ 30% ของคนไร้บ้านในกรุงเทพฯ มีญาติ มีที่อยู่อาศัยให้กลับไปนะ แต่เขาไม่ได้รู้สึกว่านี่เป็นบ้านให้เขากลับไปได้ เป็นเหตุผลว่าทำไมเขาถึงกลายเป็นคนไร้บ้าน”

อนรรฆ พิทักษ์ธานิน ผู้จัดการแผนงานพัฒนาองค์ความรู้เพื่อสร้างเสริมสุขภาวะและขับเคลื่อนนโยบายเพื่อสุขภาวะคนไร้บ้าน สถาบันเอเชียศึกษา จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กล่าว

แต่เมื่อพวกเขาออกมาแล้ว ก็ไม่ได้หมายความว่าต้องลงเอยที่การเป็นคนไร้บ้านเสมอไป หน่วยงานต่างๆ จึงพยายามเข้าช่วยเหลือคนไร้บ้านให้มีบ้านหรือที่อยู่อาศัยเป็นของตัวเอง ซึ่งจะเป็นบ้านที่พวกเขาสบายใจที่จะอยู่

อ่าน มีบ้าน แต่ไม่อยากกลับไป : ชีวิตของคนไร้บ้านไทย เมื่อบ้านไม่ใช่แค่ที่อยู่อาศัย แต่มีจิตใจเป็นส่วนประกอบ https://section09.thaihealth.or.th/2023/11/06/one-night-count/

Shares:
QR Code :
QR Code

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ระบุข้อความ