ไม่ใช่ต้นไม้ในเมือง แต่คือ ‘มนุษย์’ เหมือนกัน : ฐาปนีย์ ศิริสมบูรณ์ ผอ.ศูนย์คุ้มครองและเสริมสร้างคุณภาพชีวิตกรุงเทพฯ ที่ดูแลคนไร้บ้านแบบไม่กวาดล้าง ไม่กักขัง ไม่ซ้ำเติม
‘คนไร้ที่พึ่ง’ หมายถึง บุคคลซึ่งไร้ที่อยู่อาศัยและไม่มีรายได้เพียงพอต่อการยังชีพ และให้รวมถึงบุคคลที่อยู่ในสภาวะยากลำบากและไม่อาจพึ่งพาผู้อื่นได้
นี่คือนิยามของคนไร้ที่พึ่งตามพระราชบัญญัติการคุ้มครองคนไร้ที่พึ่ง พ.ศ. 2557 ‘ฐาปนีย์ ศิริสมบูรณ์’ หรือ ออม ผู้อำนวยการศูนย์คุ้มครองและเสริมสร้างคุณภาพชีวิตกรุงเทพมหานคร หน่วยงานในสังกัดกรมพัฒนาสังคมและสวัสดิการ กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ เล่าว่า ถ้าจำแนกให้ง่ายขึ้น กลุ่มคนที่ทางศูนย์คุ้มครองฯ ดูแลอยู่มีทั้งหมด 5 ประเภท
บุคคลที่ประสบความเดือดร้อน บุคคลสัญชาติไทยที่มีความลำบากในการดำรงชีพ เนื่องจากหัวหน้าครอบครัวหรือบุคคลที่เป็นหลักในครอบครัว ตาย ทอดทิ้ง สาบสูญหรือต้องโทษจำคุก ประสบอุบัติเหตุ หรือเจ็บป่วยร้ายแรงจนไม่สามารถประกอบอาชีพได้ ไม่สามารถดูแลครอบครัวได้
คนเร่ร่อน บุคคลสัญชาติไทยที่ออกมาจากที่พักอาศัยเดิม มาอยู่ในที่สาธารณะ หรือบุคคลที่ออกมาจากที่พักอาศัยเดิมมาตั้งครอบครัวหรือมาใช้ชีวิตแบบครอบครัวใหม่ในที่สาธารณะ และทั้งสองกลุ่ม อาจจะย้ายที่พักไปเรื่อยๆ หรืออาศัยอยู่ที่ใดที่หนึ่งในช่วงระยะเวลาหนึ่งเพื่อดำรงชีวิตประจำวัน
บุคคลที่อาศัยที่สาธารณะเป็นที่พักนอนชั่วคราว บุคคลสัญชาติไทยที่มาทำภารกิจบางอย่างและไม่มีที่พักอาศัย ไม่มีเงินเช่าที่พัก
บุคคลที่มีสถานะทางทะเบียนราษฎรแต่ยังไร้สัญชาติ บุคคลที่ถูกบันทึกทางทะเบียนราษฎรของรัฐใดรัฐหนี่ง แต่มิได้รับการรับรองในสถานะคนสัญชาติโดยรัฐ หรือรัฐอื่นใดที่ประสบปัญหาการดำรงชีพ
บุคคลที่ไม่มีสถานะทางทะเบียนราษฎร คนไร้รัฐซึ่งอาจจะเป็นคนที่เกิดในประเทศไทยหรือนอกประเทศไทยก็ได้ แต่มีเหตุทำให้ไม่มีสถานะทางทะเบียนราษฎร ทั้งของประเทศต้นทางและของ ประเทศไทยที่ประสบปัญหาการดำรงชีพ
ในบรรดา 5 กลุ่มนี้ คนไร้บ้านถือเป็นส่วนหนึ่งในนิยามของกลุ่มคนเร่ร่อน แต่ทั้งนี้ก็มีหลายหน่วยงานมองว่าการใช้คำว่า คนเร่ร่อน อาจจะเป็นการตีตราคนไร้บ้านซ้ำซ้อน จึงให้ใช้คำว่าคนไร้บ้านดีกว่า
เพราะชื่อเรียกคือเรื่องสำคัญ ตอนนี้ศูนย์คุ้มครองคนไร้ที่พึ่งกรุงเทพมหานครได้เปลี่ยนชื่อมาเป็น ‘ศูนย์คุ้มครองและเสริมสร้างคุณภาพชีวิตกรุงเทพมหานคร’ ออมให้เหตุผลว่าเพราะการมีแค่คนไร้ที่พึ่งอยู่ในชื่อทำให้ดูเหมือนดูแลแค่กลุ่มเดียวแทนที่จะเป็นหลายกลุ่ม อีกทั้งยังไม่พยายามไปตีตราซ้ำตรงคำว่า คนไร้ที่พึ่งอีกด้วย
ไม่แก้แบบเหมารวม แต่แก้ไขอย่างตรงจุด
“เราไม่อยากให้คนมองว่าคนที่ออกมาจากศูนย์คุ้มครองคนไร้ที่พึ่ง เป็นคนเร่ร่อน เป็นคนจรจัดเลยยกระดับเรื่องของการเปลี่ยนชื่อศูนย์ฯ ทำงานในเชิงรุกและเชิงของการพัฒนามากขึ้น นี่คือที่มาที่ไปของนิยาม” ออมกล่าว
สถานสงเคราะห์คนไร้ที่พึ่งแห่งแรกในประเทศไทยเกิดขึ้นตั้งแต่ พ.ศ. 2503 การดูแลในตอนนั้นเป็นลักษณะ ‘เหมารวม’ เมื่อมีการแจ้งว่ามีคนเร่ร่อนหรือคนไร้บ้าน พวกเขาก็จะถูกจับมาอยู่ในสถานสงเคราะห์ ทำให้ปริมาณคนที่เข้ามาอยู่ในพื้นที่เดียวกันค่อนข้างเยอะจนการดูแลตกหล่น และมีหลายฝ่ายมองว่าวิธีการจัดการกับคนไร้บ้านหรือคนเร่ร่อนแบบนี้ขัดต่อหลักสิทธิมนุษยชน
พอในปี 2557 ที่มีพระราชบัญญัติการคุ้มครองคนไร้ที่พึ่งเกิดขึ้นมา จึงทำให้การดูแลคนกลุ่มนี้สอดคล้องไปกับหลักสิทธิมนุษยชนมากยิ่งขึ้น ซึ่งก็คือพรบ. เดียวกันกับที่ใช้กันอยู่จนถึงทุกวันนี้
“พอมีกฎหมายนี้ ศูนย์คุ้มครองคนไร้ที่พึ่งจึงเป็นที่พักชั่วคราวเพื่อคัดกรองก่อน เราพยายามกรองคนไม่ให้ไปกระจุกอยู่ที่สถานสงเคราะห์”
ไม่ใช่แค่แก้ปัญหาเรื่องความแออัดเพียงอย่างเดียว แต่เพราะแต่ละคนมาด้วยปัญหาที่ซับซ้อน จึงมีการพยายามช่วยแก้กันไปทีละเรื่อง ทีละจุด ดีกว่าพาทุกคนไปอยู่ในที่ที่เดียวและใช้วิธีแก้ปัญหาแบบเดียวกันหมด
“ศูนย์คุ้มครองฯ ดูแลชั่วคราวไม่เกิน 15 วัน เรามองถึงว่าคนไร้บ้านหรือว่าคนไร้ที่พึ่งแต่ละคนมีสภาพปัญหาไม่เหมือนกัน ความซับซ้อน ความต้องการแตกต่างกัน ก็ต้องมาวางแผนว่าแต่ละคนควรดูแลอย่างไร เป้าหมายสุดท้ายของเราคือการลดเข้าสถานสงเคราะห์ อะไรก็ตามที่ทำให้เขากลับคืนสู่สังคมได้เราทำ ทั้งส่งไปหาครอบครัว ส่งทำงาน หรือส่งไปเรียน” ออมอธิบาย
การเสริมทักษะ สร้างอาชีพให้คนไร้บ้านก็เป็นหน้าที่สำคัญของศูนย์คุ้มครองฯ ออมเล่าว่ามีคนไร้บ้านหลายคนที่อยากทำงาน งานที่คนไร้บ้านส่วนใหญ่ได้ทำก็จะเป็นพนักงานรักษาความปลอดภัย คนงานก่อสร้าง คนรับจ้างทำสวน นอกนี้ก็พยายามประสานกับมูลนิธิต่างๆ ที่สนใจรับคนไร้บ้านไปทำงานประจำ เช่น โครงการจ้างวานข้า จากมูลนิธิกระจกเงา
แต่ไม่ใช่ว่ามีมือเปล่าก็สามารถทำงานได้เลย คนไร้บ้านบางคนไม่มีบัตรประชาชนจึงเริ่มทำงานไม่ได้ ที่ศูนย์คุ้มครองฯ ก็จะช่วยพาไปทำบัตรประชาชน หรือบางทีถ้าทำงานประจำก็ต้องมีการฝึกงาน ซึ่งต้องมีการเดินทางไปกลับ คนไร้บ้านบางคนไม่ได้มีเงินมากพอสำหรับการไปและกลับบ่อยๆ เพราะยังไม่มีรายได้ ทางศูนย์คุ้มครองฯ ก็จะให้คนไร้บ้านเข้ามาพักชั่วคราวศูนย์คุ้มครองฯ หรือบ้านพักชั่วคราวอีก 4 แห่งในกทม. ได้แก่ บ้านมิตรไมตรีห้วยขวาง บ้านมิตรไมตรีสายไหม บ้านมิตรไมตรีอ่อนนุช และบ้านมิตรไมตรีธนบุรี เมื่อมีที่พักก็จะพาไปทำงานจนกว่าจะฝึกงานเสร็จ
“บางคนก็อาจจะไปทำงานกลางวัน กลางคืนนอนที่นี่ไปก่อนในช่วงแรกๆ เพราะไม่มีที่พัก เราก็เปิดโอกาส เราพยายามให้มันหลากหลาย”
เพราะคนไร้บ้านแต่ละคนมีเงื่อนไขในชีวิตไม่เหมือนกัน บางคนมีเงินพอแค่ค่าเดินทางแต่ไม่มีเงินเช่าห้อง หรือบางคนมีเงินเช่าห้องได้แค่ไม่กี่คืน เพื่อให้พวกเขาตั้งตัวได้ที่ศูนย์คุ้มครองฯ จึงหาวิธีการที่รองรับเงื่อนไขต่างๆ ให้ได้มากที่สุด
การที่คนไร้บ้านมีงานทำ ไม่ว่าจะเป็นงานอะไรก็ตาม มันทำให้พวกเขารู้สึกว่าตัวเอง ‘มีคุณค่า’ เพราะฉะนั้นกลไกการทำงานของศูนย์คุ้มครองฯ จึงเป็นการสนับสนุนให้คนไร้บ้านกลับคืนสู่สังคมได้ เมื่อพวกเขามีงาน มีรายได้ ท้ายที่สุดพวกเขาก็จะมีบ้าน และไม่ต้องกลับมาเป็นคนไร้บ้านอีก
“เขาก็มีความภูมิใจ เขารู้สึกมีศักดิ์ศรีเพราะหาเงินได้เหมือนกันโดยที่ไม่ต้องพึ่งพาใคร บางคนส่งเงินให้ครอบครัวที่ต่างจังหวัดได้ด้วยซ้ำ”
การดูแลต้องไม่มองข้าม ‘ความยินยอม’
หลายคนคงคุ้นเคยกับเบอร์ 1300 สายด่วนของศูนย์ช่วยเหลือสังคม ของกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ สามารถติดต่อได้ 24 ชั่วโมง ปัญหาส่วนใหญ่ที่รับดูแล ได้แก่ ปัญหาบุคคลเร่ร่อน/ไร้ที่พึ่ง ปัญหาเด็กและเยาวชน ปัญหาการค้ามนุษย์ ปัญหาบุคคลขอทาน โดยศูนย์ช่วยเหลือที่ใกล้เคียงในพื้นที่จะรับเรื่องไปพิจารณาและดำเนินการต่อไป
แต่ทำไมโทร 1300 แล้วยังเจอคนไร้บ้านอยู่ที่เดิม?
นี่เป็นคำถามที่มักพบบ่อยเมื่อมีข่าวคนไร้บ้านในบางพื้นที่ หลายคนเข้าใจว่าการเก็บกวาด กักขัง คือวิธีที่ดีที่สุดในการดูแลคนไร้บ้าน เพราะพวกเขาถูกขับออกจากสังคม และดูเป็นตัวปัญหา จึงทำให้ไม่ได้มองคนไร้บ้านด้วยศักดิ์ศรีของความเป็นมนุษย์ที่เท่าเทียมกัน ด้านหลักการการทำงานของศูนย์คุ้มครองฯ มองว่า การคุ้มครองคือการช่วยเหลือตามความเหมาะสมในด้านปัจจัย 4 ช่วยให้เข้าถึงด้านสิทธิและสวัสดิการ ตลอดจนการหนุนเสริมเพื่อพัฒนาและประกอบอาชีพ
เพราะฉะนั้นการที่เราเห็นคนไร้บ้านในที่เดิมซ้ำๆ ไม่ได้หมายความว่าเขาขาดความช่วยเหลือ บางคนอาจจะได้รับการช่วยเหลือแล้ว และเขาก็พอใจที่จะอยู่ตรงนั้น ในขณะเดียวกันทางศูนย์คุ้มครองฯ เองก็ไม่ได้ปล่อยให้อยู่ตามอำเภอใจ แต่จะมีการคอยติดตามเพื่อช่วยเหลืออยู่เสมอ
“ในกฎหมายที่กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ถือ มันคือการคุ้มครอง มันคือการช่วยเหลือ คนไร้บ้านมีสิทธิ์ที่จะปฏิเสธการช่วยเหลือ สุดท้ายถ้าเขาไม่ยินยอม เขาก็กลับไปที่เดิม”
สิ่งที่ทำได้คือการทำให้คุณภาพชีวิตของพวกเขาดีขึ้น ซึ่งต้องมาพร้อมกับ ‘ความยินยอม’ อีกด้วย บางกรณีคนไร้บ้านยอมรับความช่วยเหลือแค่บางส่วนแต่ไม่ใช่ทั้งหมด มีหลายกรณีที่มีคนแจ้งตำรวจหรือเทศกิจมาจับคนไร้บ้าน พวกเขาอยู่ที่ศูนย์คุ้มครองฯ ได้ไม่กี่วันถึงเวลาก็ต้องพาออก เพราะไม่ใช่ที่ที่พวกเขายินยอมที่จะอยู่
“เราให้ความสำคัญกับความยินยอมของเขา เพราะฉะนั้นเราอาจจะทำงานยากขึ้น เพราะไม่สามารถใช้ อะไรควบคุมเขาได้ แต่ว่ายังไงกฎระเบียบต้องมีอยู่”
คู่มือก็สำคัญ มายด์เซ็ทของคนทำงานก็สำคัญไม่แพ้กัน ออมเล่าว่าต้องเป็นทีมที่แข็งแกร่งพอสมควร เพราะเป็นเรื่องที่ยากที่จะต้องจัดการกับปัญหาของแต่ละคน ซึ่งแน่นอนว่าเป็นปัญหาที่ซับซ้อน ไหนจะต้องคอยตั้งรับกับเคสเร่งด่วนในกรณีที่มีคนโทรเข้ามาแจ้งเหตุเกี่ยวกับคนไร้บ้าน ออมเลยแนะนำว่าหากใครจะทำงานในสายนี้ นอกจากจะเตรียมความเข้าใจเรื่องประชากรกลุ่มเฉพาะมาแล้ว ยังต้องเตรียมร่างกายและจิตใจอีกด้วย
‘อคติ’ สิ่งที่มองไม่เห็นแต่มีผลต่อชีวิตจริง
ครั้งหนึ่งเรามีโอกาสได้คุยกับคนไร้บ้านโดยตรง พวกเขาเล่าว่า คนทั่วไปมองเขาเป็นต้นไม้ในเมือง เห็นอยู่ทุกวันแต่ไม่ได้สนใจอะไร มีชีวิต แต่ไม่มีตัวตนในสายตาคนอื่น
“คนไร้บ้านก็เป็นคน บางคนบอกว่าให้จับพวกเขาไปอยู่โรงเรียนทหารเลย ซึ่งเราจะทำแบบนั้นไม่ได้” ออมกล่าว
เพราะคนไร้บ้านถูกมองข้ามมาตลอด พอวันหนึ่งที่พวกเขาถูกมองเห็น สังคมกลับบอกว่าพวกเขาควรไปอยู่ที่อื่น เพราะสกปรกบ้าง รกสายตาบ้าง บางคนมองคนไร้บ้านราวกับว่าไม่ใช่มนุษย์ด้วยกัน
สิ่งเหล่านี้คือการมองผ่านอคติ ซึ่งอคติเหล่านั้นนอกจากจะทำให้คนไร้บ้านถูกมองในแง่ลบแล้ว ยังส่งผลต่อการช่วยเหลือคนไร้บ้านของหน่วยงานต่างๆ อีกด้วย
“คนมองคนไร้บ้าน 2 แบบ แบบหนึ่งคือเป็นปัญหาสังคม ต้องกำจัด อีกแบบคือสงสารเกินความจำเป็น ต้องยอมรับว่าบางทีการแจกอาหารก็มีผลด้านลบได้ การมาแจกข้าวเป็นพันกล่องซึ่งคนไร้บ้านมีไม่กี่ร้อยคน อาหารก็เหลือสร้างความสกปรกเข้าไปอีก คนไร้บ้านบางคนพอรู้ว่าตัวเองมีกินทุกวัน เขาก็ไม่ไปไหนเลย”
ฉะนั้นมันจึงไม่ควรเป็นการมองแบบสุดโต่ง ไม่ว่าจะทั้งการที่บอกว่าคนไร้บ้านคือผู้ร้าย สมควรโดนกำจัด หรือการมองว่าเขาเป็นคนน่าสงสาร เป็นได้แค่ผู้รับอย่างเดียว จริงๆ แล้วเรื่องราวเบื้องหลังของคนไร้บ้านมีมากกว่านั้น และมีปัญหาซับซ้อนที่อยากให้มีคนยื่นมือมาช่วย
นอกจากนี้เราพบว่าอคติมีผลต่อการทำงานของคนไร้บ้าน แม้บางหน่วยงานจะรับคนไร้บ้านเข้าทำงานแล้ว แต่สถานประกอบการบางที่ก็เลือกที่จะไม่เปิดเผย เป็นไปได้ว่าพวกเขาอาจจะกลัวว่าสังคมจะยอมรับไม่ได้ที่รับคนไร้บ้านเข้าทำงาน เช่น ในบางโรงแรมก็ไม่อยากเปิดเผยว่ารับคนไร้บ้านมาเป็นแม่บ้าน เพราะกลัวว่าถ้าคนทั่วไปรู้ จะเข้าใจว่าโรงแรมไม่สะอาด เพราะมีภาพจำที่ว่าคนไร้บ้านมักไม่สะอาด
ปัจจุบันศูนย์คุ้มครองฯ ก็พยายามสร้างโอกาสให้คนไร้บ้านให้ได้มากที่สุด ออมเสริมว่าถ้าหากใครสนใจอยากจ้างคนไร้บ้านไปทำงานก็สามารถเข้ามาติดต่อที่ศูนย์คุ้มครองฯ ได้ หรือติดต่อส่งรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่เฟสบุ๊กเพจ ศูนย์คุ้มครองและเสริมสร้างคุณภาพชีวิตกรุงเทพมหานคร ซึ่งออมจะประสานงานต่อและดูว่ามีคนไร้บ้านที่มีทักษะตรงกับงานหรือไม่
จะเห็นได้ว่าการสนับสนุนด้านการทำงานเป็นการช่วยเหลือให้คนไร้บ้านมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นได้ยั่งยืนที่สุด
“จุดที่เขาหลุดพ้นจากการเป็นคนไร้บ้านแล้วก็คือจุดที่เขาสามารถพึ่งพาตนเองได้ อาจจะมีงานทำ มีที่อยู่อาศัยไม่ได้นอนในที่สาธารณะแล้ว รวมทั้งเรื่องของสิทธิขั้นพื้นฐานของเขาอย่างเช่นการมีบัตรประชาชน” ออมทิ้งท้าย
