‘นามสกุลพระราชทาน’ คือการรับรองชาติพันธุ์ทั้งการมีอยู่และในฐานะพลเมือง

สำหรับกลุ่มชาติพันธุ์ นามสกุลพระราชทานไม่ใช่แค่ชื่อสกุล แต่คือ การรับรองการมีอยู่ และ ยอมรับในฐานะพลเมือง

ยกตัวอย่าง ‘เสตะพันธุ์’ นามสกุลที่รัชกาลที่ 6 พระราชทานให้ พระศรีสุวรรรคีรี ทะเจียงโปรย เจ้าเมืองกะเหรี่ยง บ้านสะเนพ่อง อำเภอสังขละบุรี จังหวัดกาญจนบุรี ที่มีผลบังคับใช้ตามพระราชบัญญัติขนานนามสกุล พ.ศ.2456 และมีทรงพระราชทานนามสกุลมากถึง 6,432 นามสกุล

“ถูกมอบหมายให้ดูแลพื้นที่ชายแดนแถวสังขละบุรี ชนเผ่ากระเหรี่ยง เลยตั้งชื่อนามสกุลว่าเสตะพันธุ์ ให้ดูแลเผ่าพันธุ์ในพื้นที่ชายแดน สาเหตุที่ได้รับการแต่งตั้ง เพราะเป็นผู้นำทางจิตวิญญาณในพื้นที่ โดยเอาโครงสร้างเดิมทางวัฒนธรรมมาใช้ เพราะคนกลุ่มนี้ทำประโยชน์ ดูแลพื้นที่ชุมชน” ชิ-สุวิชาน พัฒนาไพรวัลย์ สำนักวิชาศิลปศาสตร์ มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง ให้ข้อมูล 

กะเหรี่ยงบ้านสะเนพ่อง เป็นกะเหรี่ยงโพล่ง หรือจะเรียกว่า โผล่ง, โผล่ว (Pwo) ก็ได้ ตั้งถิ่นฐานอยู่บริเวณพรมแดนไทย-เมียนมา ประมาณ 700 ปี ส่วนใหญ่ตั้งถิ่นฐานในภาคตะวันตก ภาคกลาง และภาคเหนือ ที่สำคัญกะเหรี่ยงโผล่งในประเทศไทยมีจำนวนประชากรมากเป็นอันดับที่สองรองจากกาเกอะญอ 

ชาติพันธุ์ในไทยมีมากกว่า 60 กลุ่ม อาศัยในพื้นที่สูง ที่ราบ ชายฝั่งเกาะแก่ง และในป่า คิดเป็นประชากรราว 10 ล้านคน หรือ 1 ใน 7 ของจำนวนประชากรทั้งหมด 

เกือบทั้งหมดมีนามสกุล และนามสกุลบางส่วนได้รับการพระราชทานมา ที่มีบันทึกเป็นหลักฐานชัดเจนคือครั้งการพระราชทานนามสกลุแก่ชาวเลของ ‘สมเด็จย่า’ พระศรีนครินทราบรมราชชนนี ที่เสด็จมาเกาะหลีเป๊ะ 4 ครั้งตามที่มีบันทึกไว้

จากการให้ข้อมูลของ ‘แตง’ วรรธิดา เมืองแก้ว เจ้าหน้าที่ปฏิบัติการชุมชน มูลนิธิชุมชนไท เล่าถึงนามสกุลพระราชทานแก่ชาติพันธุ์กลุ่มชาวเลไว้ว่า 

“สมัยที่สมเด็จย่าเสด็จมาเยี่ยมประชาชนในจังหวัดภูเก็ต พี่น้องกลุ่มชาติพันธุ์ชาวเลได้รับคำสั่งให้ไปเฝ้ารับเสด็จ ตอนนั้นสมเด็จย่าท่านก็มีข้อมูลอยู่แล้วว่าพี่น้องกลุ่มนี้ยังไม่มีนามสกุล ท่านก็เลยพระราชทานนามสกุลให้ แต่เป็นการบอกกล่าว เป็นการบอกเล่าจากปู่ย่าตาทวดที่บอกส่งมายังลูกหลาน ไม่ได้มีหลักฐานบันทึก” 

และนามสกุลก็ดูตามบริบทพื้นที่และสอดคล้องกับวิถีชีวิต เช่น ‘กล้าทะเล’ เป็นนามสกุลของชาวมอแกน โดยเฉพาะบริเวณหมู่เกาะสุรินทร์และเกาะพระทอง จังหวัดพังงา สะท้อนให้เห็นถึงความสามารถ และความกล้าหาญในเรื่องเกี่ยวกับทะเล

ใกล้ๆ กันคือ ‘หาญทะเล’ เป็นนามสกุลที่ใช้กันในชาวเลทั้ง 3 กลุ่ม ทั้งในอำเภอคุระบุรีและอำเภอตะกั่วป่า จังหวัดพังงา ในเกาะอาดังและเกาะหลีเป๊ะ อำเภอเมือง จังหวัดสตูล 

ยังมี ‘นะทะเล’ เป็นนามสกุลของชาวมอแกลนในจังหวัดพังงา เป็นนามสกุลที่ชี้ให้เห็นถึงแหล่งที่อยู่อาศัยและ ที่ทำมาหากินบริเวณชายฝั่งทะเล

ส่วน ‘ทะเลลึก’ เป็นนามสกุลของชาวอูรักลาโว้ยในเกาะลันตาจังหวัดกระบี่ บ่งบอกถึงการทำมาหากินในทะเลลึกและความเชี่ยวชาญเกี่ยวการเดินเรือในน่านน้ำลึก

‘ประมงกิจ’ เป็นนามสกุลที่ใช้กันมากในกลุ่มชาวอูรักลาโว้ย ในจังหวัดภูเก็ตรวมทั้งชาวมอแกนในเกาะเหลา จังหวัดระนอง สะท้อนให้เห็นถึงความถนัดและความสามารถ ในการทำอาชีพทางทะเลและการทำประมง

ขณะที่ ‘นาวารักษ์’ เป็นนามสกุลที่ใช้กันมากในชุมชนมอแกลน อำเภอท้ายเหมือง จังหวัดพังงาชี้ให้เห็นว่าชาวเลเชี่ยวชาญในการสร้างและดูแลรักษาเรือรวมทั้งมีความชำนาญในการเดินเรือ

ส่วน ‘ช้างน้ำ’ นามสกุลที่แพร่หลายในกลุ่มอูรักลาโว้ย เกาะลันตาและเกาะจำ อำเภอเมือง จังหวัดกระบี่ วรรธิดาสันนิษฐานว่า ต้นทางน่าจะมาจากคำว่า ‘ชาวน้ำ’ แต่ภายหลังถูกเรียกและปรับเปลี่ยนไป 

“พี่น้องกลุ่มชาวเลที่ยังไม่มีนามสกุล เลยพระราชทานโดยดูตามที่มาของการอยู่อาศัยด้วยนี่ก็ส่วนหนึ่ง แล้วก็ให้สอดคล้องกับวิถีชีวิตของพี่น้องด้วย” วรรธิดาอธิบาย 

สำหรับชาติพันธุ์ทางตอนเหนือ สุวิชาน ให้ข้อมูลเพิ่มเติมอีกว่า การพระราชทานนามสกุลครั้งสำคัญ มาในช่วงเริ่มต้นและดำเนินโครงการในพระราชดำริแถบพื้นที่สูง 

“ตอนนั้นคนชนเผ่ามีแต่ชื่อ ไม่มีนามสกุล เวลาเค้าถามหานามสกุล เราก็ไม่รู้จะตั้งยังไง ส่วนใหญ่ตั้งตามชื่อบรรพบุรุษ เช่น กั๊วมู ของบรรพบุรุษผม เขียนภาษาไทยไม่ได้ เลยเขียนว่า กัวมู แต่ก็ยังมีคนหลายคนไม่รู้จะแต่งนามสกุลยังไง โดยเฉพาะในช่วงที่ ร.9 เสด็จพระราชดำเนินไป ตอนนั้นมีแค่พระราชทานเหรียญชาวเขา เพื่อบอกว่าคนนี้เป็นพสกนิกรของพระองค์ แต่มันไม่เวิร์ค เพราะพอลูกเกิดมาก็ต้องผลิตเหรียญใหม่ พระองค์จึงพระราชทานนามสกุลเพื่อบอกว่าเป็นพสกนิกรของพระองค์ เป็นคนไทยโดยสมบูรณ์แล้ว” 

นอกเหนือจากการถูกนับว่าเป็นพลเมืองไทย การมีนามสกุลยังทำให้กลุ่มชาติพันธุ์ถูกเลือกปฏิบัติน้อยลง

“ตอนไม่มีนามสกุล พอไปติดต่อราชการ จะถูกตั้งคำถาม ถูกแบ่งแยกทันที ถึงจะมีบัตรประชาชนก็จะถูกแบ่งแยกว่าพวกไม่มีนามสกุล ไม่ใช่คนไทย เหมือนหลอมยังไม่เสร็จ แต่พอได้รับพระราชทานนามสกุล เวลาไปติดต่อราชการหรือไปขอโครงการพัฒนาต่างๆ ได้รับการพิจารณา ได้รับการรับฟัง การเข้าถึงสิทธิ สวัสดิการของรัฐได้เหมือนกับคนทั่วไป เช่น การทำถนน ทุนการศึกษา ฯลฯ”

ถึงแม้นามสกุลพัฒนาไพรวัลย์ของสุวิชาน จะไม่ได้รับพระราชทาน แต่เขาเชื่อว่าหนึ่งในเหตุผลของนามสกุลพระราชทาน คือการทอดพระเนตรเห็นช่องว่างในความเป็นพลเมืองที่ไม่สมบูรณ์

“นามสกุลจึงเป็นสัญญะ เป็นคุณค่าที่เติมเต็มความเป็นพลเมืองมากยิ่งขึ้น และมันจะทำให้ความแตกต่างหลากหลายของวัฒนธรรมของกลุ่มชาติพันธุ์ ได้ถูกนับรวมเป็นความหลากหลายของสังคมไทย” ชิ สุวิชาน บอก

สอดคล้องกับกลุ่มชาวเล การมีนามสกุลเท่ากับเป็นเครื่องยืนยันถึงการเป็นกลุ่มชาติพันธุ์ดั้งเดิมที่อาศัยอยู่ในพื้นที่ฝั่งอันดามันมาอย่างต่อเนื่อง

“ยังมีการยึดถือ บอกต่อสร้างความภาคภูมิใจ พี่น้องส่วนใหญ่มีความภาคภูมิใจในตัวเอง ในวิถีวัฒนธรรม ไม่เคยได้ยินเด็กกลุ่มชาติพันธุ์รู้สึกว่าฉันไม่น่าจะเป็นกลุ่มนี้เลย ไม่เคยได้ยิน คือเด็กทุกคนก็รู้สึกภาคภูมิใจในความเป็นกลุ่มชาติพันธุ์เฉพาะของเขา เขาสามารถบอกเล่าเรื่องราวประวัติศาสตร์ความเป็นมาของเขาได้อย่างชัดเจน”

วรรธิดาอธิบายต่ออีกว่าประเด็นความเชื่อมโยงระหว่างสิทธิและสวัสดิการ กับ นามสกุล ที่ส่งผลต่อการคลี่คลายปัญหาสถานะบุคคลได้ส่วนหนึ่ง เพราะนามสกุลเป็นตัวบ่งบอกชาติพันธุ์ รวมถึงวิวัฒนาการในการพัฒนาสถานะ ที่สำคัญ นามสกุลเป็นหลักฐานสำคัญในการจดทะเบียนประวัติเพื่อนำไปสู่การได้รับเลข 13 หลัก

มีบางส่วนที่อาจตกหล่น ไม่ได้รับการแจ้งเกิด แต่การใช้นามสกุลที่สืบทอดมาตั้งแต่ปู่ย่าอาจนำไปสู่การแก้ปัญหาสถานะได้

“กลุ่มพี่น้องจังหวัดระนอง ที่นามสกุลประมงกิจ จะยังเป็นกลุ่มที่ยังมีปัญหาสถานะ แต่ก็จะรู้ว่าเป็นกลุ่มที่มาจากระนอง เช่น เราไปเจอนามสกุลนี้ เราก็จะสืบสายได้ถูก แล้วการแก้ปัญหาสถานะมันต้องกลับมาสืบสาวหาความสัมพันธ์ นามสกุลก็จะเชื่อมโยงกับเครือญาติ ความเป็นกลุ่มชาติพันธุ์เขาได้ชัดเจน ถ้าบางคนสามารถสืบสาวได้ว่าญาติเคยมีสัญชาติไทย นำไปสู่เรื่องของการอาจจะมีดีเอ็นเอ สำนักทะเบียนก็สามารถอ่านผ่านนามสกุลของเค้าได้เพื่อนำกลับไปเชื่อมโยงกับการแก้ปัญหาสถานะบุคคล”

สถานะบุคคลมาพร้อมกับสิทธิพื้นฐานต่างๆ ตั้งแต่ สิทธิในการรักษาพยาบาล, สิทธิทางการศึกษา, สิทธิในการเดินทาง โดยไม่ต้องกังวลว่าจะถูกจับ และ สิทธิทางการเมือง เช่น การเลือกตั้ง

มีนามสกุล มีอาชีพ มีการศึกษา

ด้านหนึ่ง การมีนามสกุลนับเป็นการรับรองทักษะการทำมาหากินอย่างหนึ่ง เพราะอาชีพของกลุ่มชาติพันธุ์ก็แน่นแฟ้นกับวัฒนธรรมมาแต่ไหนแต่ไร จนถึงจุดที่ ‘รู้กัน’ ว่าอาชีพนี้ใครคือตัวจริง

“ถ้ากินปลาสดก็ต้องไปหาพี่น้องกลุ่มไหน ถ้าเราอยากได้มุกแท้ก็ต้องไปหากลุ่มนี้ มันจะมีจุดนึงที่รับรู้กันว่ากลุ่มไหนทำอาชีพอะไร” วรรธิดาอธิบาย

ผลทางอ้อมต่อมาคือโอกาสทางการศึกษา

“น้องๆ หลายคนเรียนจบกฎหมาย เรียนจบครู บางส่วนได้รับราชการ แต่อาชีพก็ยังไม่ต่างจากเดิม ชาวเลอาชีพส่วนใหญ่ก็ยังเป็นประมง บางคนเป็นไกด์ เจ้าของกิจการ ตามความสามารถของเขา”

คุณภาพชีวิตด้านเศรษฐกิจก็ดีขึ้น เพราะการมีนามสกุลที่แน่นอนทำให้สามารถทำธุรกรรมทางการเงิน เปิดบัญชีธนาคาร หรือจดทะเบียนอาชีพ/ธุรกิจได้อย่างเป็นทางการ ซึ่งเป็นพื้นฐานสำคัญในการเข้าถึงสินเชื่อและการพัฒนาเศรษฐกิจชุมชน

ภูมิใจใน ‘หาญทะเล’

เจ้าของนามสกุลหาญทะเล อย่าง ‘หญิง’ อรวรรณ หาญทะเล จากชุมชนมอแกลนบ้านทับตะวัน จ.พังงา ก็บอกว่า หลักฐานที่มานามสกุลของตัวเองมีแต่คำบอกเล่าที่มาจากหลายแหล่ง บ้างก็บอกว่าพระราชทานมาตั้งแต่สมัย ร.5 บางเสียงก็บอกว่ามาจากสมเด็จย่า

อย่างไรก็ตาม หญิงบอกว่า ดีใจมากที่ได้นามสกุลพระราชทาน ครอบครัวถือเป็นเกียรติสูงสุด

“เหมือนท่านพยายามดูแลพวกเราให้มีชีวิตที่ดีขึ้น ไม่ละทิ้ง ท่านให้ความสำคัญกับกับทุกเผ่าพันธุ์ ทุกศาสนา”

แต่ในอีกด้าน เพราะนามสกุลที่สะท้อนสอดคล้องกับวิถีชีวิตก็ทำให้ถูกเลือกปฏิบัติเช่นกัน หญิงเล่าความหลังวัยเด็กให้ฟังว่า

“แต่กลับกันนะ นามสกุลของพวกถูกประกาศให้รับยาหรือการรักษาที่โรงพยาบาล เจ้าหน้าที่ คุณหมอ นางพยาบาลก็จะดูพวกเราตั้งแต่การแต่งตัว การใส่รองเท้า จนบางคนก็พูดออกมาเลย ‘ว่าแล้วนามสกุลพวกนี้ นามสกุลพวกชาวเล’ ก็จะถูกเหยียด”

แต่พอยิ่งถูกเหยียด ครอบครัวหญิงยิ่งสู้กลับด้วยการเล่าข้อมูลและประวัติแก่ลูกหลาน

“ให้เขามีภูมิคุ้มกันเรื่องประวัติศาสตร์ ให้เค้าไปถกเถียงว่าเราเป็นใคร เราโชคดีแค่ไหนที่เราได้นามสกุลพระราชทาน ให้เค้าภูมิใจที่มีต้นทุน มีภูมิปัญญา”

ปกติเมื่อแต่งงานไป ผู้หญิงจะเปลี่ยนนามสกุลไปใช้ของสามี แต่หญิงยืนกรานว่าไม่ ถ้าต้องเปลี่ยนก็ไม่แต่ง

“ถ้าสมมุติว่ามีสามีแล้วต้องไปเปลี่ยนสกุล สู้ไม่มีดีกว่า (ยิ้ม)”

ใต้การพูดไปยิ้มไปคือการเอาจริงและมุ่งมั่น จนสามี ‘เก๋’ วิทวัส เทพสง ตกลง

“เราต้องทำงานเพื่อช่วยเหลือพี่น้องเรา ช่วยชาติพันธุ์เราด้วย ได้ตังค์ไม่ได้ตังค์บ้าง บางคนรับไม่ได้ ก็ต้องเลิกคบกันไป แต่พี่เก๋ (สามี) รับได้ เขาช่วยทุกอย่าง ทำตามความฝันของเรา ความตั้งใจของเรา เขาก็ลงทุนอยู่หลายปีกว่าเราจะแต่งงาน (ยิ้ม)”

เหตุผลลึกๆ ของการยืนยันว่าใช้นามสกุลตัวเองตลอดไปของหญิงคือความภูมิใจ

“เราถูกกระทำมาตั้งแต่เด็กๆ นะ เพื่อนบูลลี่ ครูบูลลี่ หมอบูลลี่อะไรเนี้ย ก็เลยสงสัยว่าชาติตระกูลเรามันผิดตรงไหน เราก็คนเหมือนกัน เพื่อนบางคนถึงกับไปเปลี่ยนนามสกุลก็มีเพราะมองว่าตัวเองต่ำต้อย แต่เราเป็นพวกอยากรู้ พอมีอะไรสงสัยก็ถามทวด รู้ประวัติศาสตร์ของเรา เราภูมิใจ ภูมิใจในหาญทะเล” หญิงทิ้งท้าย

ที่มา :
https://www.silpa-mag.com/history/article_143263
https://imnvoices.com/?p=4291
“นามสกุลพระราชทานพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว : การวิเคราะห์ทางอรรถศาสตร์ชาติพันธุ์” วิทยานิพนธ์ นส.ปานทิพย์ มหาไตรภพ คณะอักษรศาสตร์ จุฬาฯ

Shares:
QR Code :
QR Code