
ไม่รีบเกษียณ ยังไม่ใกล้ฝั่ง และยังไม่ใช่เวลาพักผ่อน : ข้อเสนอการขยายอายุเกษียณจาก 60 เป็น 65 ต้องมา ในวันที่คนเกิดน้อยกว่าคนตาย
ประชากรไทยตายมากกว่าเกิดมาติดต่อกัน 4 ปี คนรุ่นใหม่มีลูกน้อยลง เราเข้าสู่สังคมสูงวัยแบบสมบูรณ์ (Completed Aged Society) ตั้งแต่ปีที่แล้ว และเตรียมเข้าสู่สังคมสูงวัยแบบสุดยอด (Super Aged Society) ในราว 5 ปีข้างหน้า ขณะที่ปัจจุบันคนไทยที่อายุ 100 ปีขึ้นไปมีจำนวนมากกว่า 45,500 คน อนาคตตัวเลขของคนอายุยืนมีแนวโน้มสูงขึ้นเรื่อยๆ ด้วยความก้าวหน้าทางการแพทย์และเทรนด์การดูแลตัวเองรักษาสุขภาพ
ดังนั้นแนวคิดการขยายอายุเกษียณจาก 60 ปีเป็น 65 ปี จึงหนักแน่นและมีความเป็นไปได้ทั้งในแง่นโยบายและภาคปฏิบัติมากขึ้น
ทั้งนี้มูลนิธิสถาบันวิจัยและพัฒนาผู้สูงอายุไทย (มส.ผส.) ผลักดันและสนับสนุนแนวคิดการขยายอายุเกษียณราชการมาอย่างต่อเนื่องโดยเฉพาะการคงให้แรงงานอยู่ในระบบการจ้างงานไว้ให้นานและไม่ออกจากระบบแรงงานเร็วเกินไป อย่างไรก็ตามการขยายอายุเกษียณไม่อาจทำได้ชั่วข้ามคืน ทั้งการปรับปรุงกฎหมาย ปรับสภาพแวดล้อมการทำงานและการใช้ชีวิตให้เป็นมิตรกับคนทุกวัย ที่สำคัญที่ต้องอาศัยความร่วมมือจากทุกภาคส่วนให้มากคือการปรับทัศนคติต่อคนสูงวัยว่า ยังไม่ใกล้ฝั่งและยังไม่ใช่เวลาพักผ่อน สังคมต้องการประสบการณ์และความเชี่ยวชาญของคนวัยนี้อีกมาก
สอดคล้องกับ แนวคิดเรื่องการขยายอายุการทำงาน เริ่มมาแล้วเป็นเวลานานนับ 10 ปี ถูกกำหนดเป็นยุทธศาสตร์สำคัญในแผนผู้สูงอายุแห่งชาติ และล่าสุดในแผนปฏิบัติการด้านผู้สูงอายุ ฉบับที่ 3 ซึ่งเป็นแผนหลักในการเตรียมการรับมือสังคมสูงวัย กำหนดเป็นยุทธศาสตร์ด้านการส่งเสริมการสร้างหลักประกันรายได้สำหรับผู้สูงอายุ เป็นประเด็นที่มีมติคณะรัฐมนตรีรับรอง ขับเคลื่อนโดยภาครัฐ สนับสนุนโดยภาคเอกชน ที่จะให้ความสำคัญกับการใช้ประสบการณ์ ภูมิปัญญา และทักษะ ของผู้สูงอายุ อันจะเป็นประโยชน์แก่องค์กร
“การเปลี่ยนแปลงอายุเกษียณจาก 60 เป็น 65 ปี ควรเริ่มใช้กับคนรุ่นใหม่ที่เพิ่งเข้าสู่ระบบแรงงาน เพื่อให้พวกเขาทราบล่วงหน้า และ เปลี่ยนจากกฎหมายบำนาญแห่งชาติเป็นการทำแผนงาน” นพ.ภูษิต ประคองสาย มูลนิธิสถาบันวิจัยและพัฒนาผู้สูงอายุไทย (มส.ผส.) เสนอว่าการขยายอายุเกษียณ ควรทำอย่างค่อยเป็นค่อยไป
แทนการบังคับใช้กฎหมาย นพ.ภูษิตเสนอให้ใช้แผนที่นำทาง และแทนที่จะเพิ่มเงินบำนาญเป็น 3,000 บาทถ้วนหน้าทันที นพ.ภูษิต เสนอให้เพิ่มและกำหนดความสำคัญกับผู้สูงอายุที่มีปัญหาสุขภาพก่อน เพื่อการปรับอายุเกษียณจาก 60 เป็น 65 ปีสามารถดำเนินไปได้โดยไม่เกิดความขัดแย้งรุนแรง ควรเริ่มใช้กับคนรุ่นใหม่ที่เพิ่งเข้าสู่ระบบแรงงาน เพื่อให้พวกเขาทราบและเตรียมตัวล่วงหน้า
ซึ่งสามารถทำควบคู่ไปได้กับมาตรการสนับสนุนการจ้างงานผู้สูงอายุและสอดคล้องกับความต้องการการทำงานของผู้สูงอายุที่ต้องการการทำงานที่ยืดหยุ่นคือสามารถจ้างงานเป็นรายวัน/รายชั่วโมงได้ ไม่ต้องเดินทางไกลจากที่อยู่อาศัย ลักษณะงานไม่ซับซ้อน เป็นการทำงานที่ไม่ได้ใช้กำลังมาก โดยนำเทคโนโลยีมาหนุนเสริมการทำงานของผู้สูงอายุ นโยบายภาครัฐจึงควรกำหนดกลุ่มเป้าหมายและค่าอายุเป้าหมายที่ชัดเจนเป็นรูปธรรม และสนับสนุนการจัดการเชิงระบบ ดังนี้
(1) การจัดสร้างระบบข้อมูลและจัดการฐานข้อมูล รวมถึงระบบการจัดหางาน เพื่อสร้างความเชื่อมโยงข้อมูลของผู้สูงอายุ ระหว่างหน่วยงานภาครัฐและภาคเอกชน โดยจัดระบบลงทะเบียน มีข้อมูลศักยภาพ ความรู้ความชำนาญ และสถานะสุขภาพ สำหรับผู้สูงอายุทั้งในระบบการจ้างงานและแรงงานอิสระ รวมถึงบูรณาการระบบสวัสดิการที่ผู้สูงอายุได้รับ ในเบื้องต้นเพื่อให้ผู้สูงอายุได้รับสวัสดิการและความช่วยเหลืออื่นได้อย่างเหมาะสม และเพื่อให้สามารถจับคู่ จัดสรรงานได้อย่างตรงตามเป้าหมายของทั้งนายจ้างและลูกจ้างสูงอายุ
(2) แก้ไขกฎหมายประกันสังคม โดยขยายอายุการเกิดสิทธิประโยชน์ประกันสังคม ตั้งแต่ 55 ปีขึ้นไป โดยเฉพาะแก้ไขประเด็นเงื่อนไขการรับสิทธิบำนาญ ให้สามารถเลือกรับสิทธิบำนาญทั้งหมดหรือบางส่วนและทำงานต่อเนื่องต่อไปได้ รวมถึงการเป็นผู้ประกันตนที่จะได้รับการคุ้มครองชดเชยรายวันเมื่อเจ็บป่วย ให้เป็นทำนองเดียวกับผู้ประกันตนที่ไม่ใช่แรงงานสูงอายุ
(3) สร้างแรงจูงใจให้สถานประกอบการเพื่อจ้างแรงงานสูงอายุ เช่น มาตรการทางภาษี เงินอุดหนุน หรือผลประโยชน์อื่นแก่นายจ้างที่สนับสนุนการทำงานหรือการจ้างงานแรงงานสูงอายุ เช่น ปรับสภาพการทำงานและสภาพแวดล้อมในการทำงานให้เหมาะกับผู้สูงอายุ กำหนดมาตรการเตรียมพัฒนาศักยภาพ (upskills, reskills) แรงงานสูงอายุ หรือการเตรียมพร้อมสำหรับแรงงานที่จะสูงอายุในองค์กรให้สามารถพัฒนาศักยภาพและทำงานตามมาตรฐานแรงงานได้ ชะลอการออกจากระบบ
(4) จัดฝึกอบรมเพื่อเตรียมความพร้อมแก่แรงงานสู่การเป็นแรงงานสูงอายุ และการเข้าสู่สังคมสูงวัย ยกระดับทักษะให้มีฝีมือในการประกอบอาชีพและทักษะการทำงานยุคใหม่ แทนทักษะการทำงานแบบเดิม

ข้อเสนอ ‘บำนาญ’ คือหัวใจสำคัญ
ภาคประชาสังคมต่างๆ ที่เป็นเฟืองสำคัญในการขับเคลื่อนสวัสดิการผู้สูงวัยหลายปีที่ผ่านมา ก็ได้ร่วมกันพัฒนาข้อเสนอเชิงนโยบายที่เกี่ยวข้องและมีส่วนสำคัญผลักดันให้นโยบายขยายอายุเกษียณชัดเจนและปฏิบัติได้จริงมากขึ้น ในการสัมมนาเชิงปฏิบัติการ “การพัฒนาชุดข้อเสนอเชิงนโยบาย: รัฐสวัสดิการถ้วนหน้าจากครรภ์มารดาถึงเชิงตะกอน เมื่อวันที่ 4-5 ตุลาคม ที่ผ่านมา ณ โรงแรม ไมด้า ดอนเมือง แอร์พอร์ต จัดโดยเครือข่ายรัฐสวัสดิการเพื่อความเท่าเทียมและเป็นธรรม (We Fair) โครงการเสริมพลังภาคี เครือข่ายขับเคลื่อนสวัสดิการเพื่อสังคมเท่าเทียมเสมอหน้า (คส.คสส.) และ สำนักสนับสนุนสุขภาวะประชากรกลุ่มเฉพาะ (สำนัก9) สสส.
ลงลึกในประเด็นบำนาญ ที่ประชุมสรุป 2 ข้อเสนอสำคัญคือ 1.พัฒนาเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุ 600-1,000 บาท/เดือน เป็นระบบบํานาญประชาชน โดยใช้เกณฑ์เส้นความยากจนเฉลี่ยของประเทศ และ 2.ปรับเพิ่มตามอัตราเงินเฟ้อและดัชนีผู้บริโภค จ่ายตรงให้ประชาชน
“ต้องมีกฎหมายที่ชัดเจน เพราะกฎหมายจะเป็นหลักพิงได้” แสงสิริ ตรีมรรคา จากมูลนิธิเข้าถึงเอดส์ อธิบายต่อว่า ในกรณีที่งบประมาณจำกัด สามารถควบคุมการจ่ายบำนาญแบบขั้นบันไดได้ แต่จะทำอย่างนี้ได้ แสงสิริ ชี้ว่าจำเป็นต้องปฏิรูประบบภาษี จัดเก็บและจัดสรรเงินใหม่
ด้าน รองศาสตราจารย์นพนันท์ วรรณเทพสกุล คณะเศรษฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เสนอ “เปลี่ยนจากการให้แบบสงเคราะห์ ไปสู่การให้บำนาญแบบถ้วนหน้า”
เพราะอัตราความยากจนของผู้สูงอายุไทยรุนแรงมาก โดยอาจสูงถึง 60% ส่วนแหล่งที่มาของเงินบำนาญที่มีเป้าหมายดันให้ใกล้เคียงกับเส้นความยากจนคือ 2,800 บาทเศษต่อเดือน รศ.นพนันท์ เสนอว่าสามารถดึงมาจากแหล่งรายได้ต่างๆ เช่น การขึ้นภาษีมูลค่าเพิ่ม เพิ่มภาษีสรรพสามิตบางรายการ ภาษีเครื่องใช้ไฟฟ้า รวมถึงเครื่องมือทางการคลังใหม่อย่าง ‘กองทุนความมั่งคั่ง’ โดยนำเงินออมจากประเทศต่างๆ เข้าไปลงทุนเพื่อเพิ่มมูลค่าสินทรัพย์
“แก้ไขกฎหมายรัฐธรรมนูญ ให้การพิจารณากฎหมายที่เกี่ยวข้องกับรัฐสวัสดิการเป็นหน้าที่ของรัฐสภา ไม่ใช่คณะรัฐมนตรีหรือนายกรัฐมนตรี” คือข้อเสนอจาก นิมิตร์ เทียนอุดม มูลนิธิเข้าถึงเอดส์
เหตุผลสำคัญคือการปลดล็อกอุปสรรคของการจัดตั้งรัฐสวัสดิการ ส่วนการปฏิรูประบบและการจัดเก็บภาษี นิมิตรเห็นว่าต้องสร้างฐานข้อมูลรายได้หรือ Big Database ที่ครอบคลุมระบบภาษีของคนไทยทุกคนในประเทศเพื่อให้รัฐมีข้อมูลรายได้ของคนทั้งประเทศอย่างชัดเจน และสามารถระบุกลุ่มเป้าหมายที่จะได้รับรัฐสวัสดิการอย่างแม่นยำ จากนั้นจึงไปสู่ขั้นตอนการออกแบบว่าจะไปเก็บภาษีเพิ่มในส่วนไหนได้บ้าง ทั้งหมดนี้ต้องทำควบคู่ไปกับการทำให้ประชาชนตระหนักถึงความสำคัญและอยากเห็นการเปลี่ยนแปลง ท้ายที่สุดเพื่อให้ได้รัฐบาลที่เชื่อในเรื่องรัฐสวัสดิการ
ฝั่งคณะกรรมาธิการสวัสดิการสังคม ในฐานะประธาน วรรณวิภา ไม้สน เสนอให้ “ปรับแก้พระราชบัญญัติผู้สูงอายุทั้งฉบับ เพื่อให้สอดคล้องกับสภาพสังคมผู้สูงวัยที่ซับซ้อน”
วรรณวิภา อธิบายที่มาของการเสนอให้แก้ไขพระราชบัญญัติผู้สูงอายุ เพื่อรองรับภาวะขาดแคลนแรงงานในอนาคต โดยกำหนดสัดส่วนการจ้างงานผู้สูงอายุที่ยังทำงานได้ คล้ายกับสัดส่วนการจ้างงานคนพิการ (100:1) เพื่อให้ผู้สูงอายุมีศักดิ์ศรีและมีทางเลือกในการทำงาน

นอกจากการเตรียมการเชิงระบบจากข้อเสนอต่างๆ ข้างต้น การขยายอายุการทำงานทำให้ผู้สูงอายุต้องทำงานนานขึ้น การเตรียมตัวและดูแลสุขภาพของตัวเองเป็นสิ่งสำคัญ โดยเฉพาะจากโรคไม่ติดต่อซึ่งเป็นปัญหาสุขภาพสำคัญในกลุ่มผู้สูงอายุ โดยการรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ ออกกำลังกายสม่ำเสมอ นอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ จัดการสุขภาพจิต จะช่วยการทำงานหลังเกษียณ ได้อย่างราบรื่นและปลอดภัย
เพราะปัจจัยที่ทำให้ผู้สูงอายุวัยมีความสุข มี 3 ข้อได้แก่ 1.สุขภาพ ผู้สูงวัยก็มีความสามารถที่จะดูแลตัวเองได้ ลุกเดินได้อย่างสะดวก เมื่อสุขภาพดีก็จะสามารถทำให้มีความสุขได้ 2.ปัจจัยที่เกี่ยวข้องกับเงิน เพราะว่าไม่มีเงิน ก็ยากที่จะมีความสุข และ 3.การมีส่วนร่วมกับสังคม เช่น การมีเพื่อน ได้ออกไปใช้ชีวิตข้างนอก
เป็นประเด็นสำคัญจาก ศ.ดร.นพพล วิทย์วรพงศ์ อาจารย์ประจำคณะเศรษฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ที่ทำวิจัย นักเศรษฐศาสตร์ที่สำรวจ ‘ความสุข’ ของผู้สูงวัยไทย ซึ่งการขยายอายุเกษียณก็เป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้ผู้สูงอายุมีความสุขมากขึ้นเพราะมีรายได้ดูแลตัวเอง ไปทำงานก็เท่ากับเข้าสังคม มีเพื่อน
“ถ้าผู้สูงอายุคนหนึ่งต้องใช้ชีวิตที่ไม่มีความสุข จะสะท้อนคุณภาพชีวิตผู้สูงอายุที่ไม่ดี และยังสะท้อนคุณภาพชีวิตของคนทั้งประเทศ รวมถึงโครงสร้างประเทศด้วย ถ้าผู้สูงอายุมีความทุกข์ชัดแล้วนะว่า ประเทศนี้มีคุณภาพชีวิตที่ไม่ดี ไม่ใช่แค่เฉพาะคนสูงวัย แต่วัยอื่นๆ ก็ด้วย” อ.นพพล ทิ้งท้าย
