แม่ในเรือนจำก็คือแม่ : การธำรงบทบาทความเป็นแม่ที่อยู่หลังกำแพง ด้วย ‘ข้อกำหนดกรุงเทพ’
ไม่ใช่เด็กทุกคนจะมีแม่ และไม่ใช่แม่ทุกคนที่อยู่ดูแลลูกได้อย่างใกล้ชิด
ในปี 2550 ระบบยุติธรรมทางอาญาโลกเผชิญกับปรากฏการณ์ที่เรียกว่า ‘คนล้นคุก’ หรือการเพิ่มขึ้นจำนวนมากของผู้ต้องขังในนานาประเทศรวมไปถึงประเทศไทย ซึ่งนักโทษที่เพิ่มขึ้นนั้นไม่ได้มีเพียงเพศชายเท่านั้น แต่ยังมีจำนวนนักโทษหญิงที่เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ และอัตราเฉลี่ยของประเทศไทยนั้นสูงกว่าประเทศอื่นอย่างเห็นได้ชัด โดยข้อมูลจากกรมราชทัณฑ์ระบุว่า ปี 2553 ประเทศไทยมีผู้ต้องขังหญิงทั้งหมด 30,570 คน จากผู้ต้องขังทั้งหมด 215,939 คน คิดเป็นร้อยละ 15 ของผู้ต้องขังทั้งหมด และคดีส่วนใหญ่เกี่ยวกับยาเสพติด
หากเป็นในช่วงปีนั้น เรือนจำแทบจะทุกแห่งไม่มีความพร้อมในการรองรับผู้ต้องขังหญิง ไม่มีสถานที่ เครื่องมือ หรืออุปกรณ์ที่จำเป็นต่อผู้หญิงที่ตั้งครรภ์ และสุขภาพอนามัยทั่วไปของเพศหญิง แม้ว่าผู้ต้องขังบางส่วนกำลังตั้งครรภ์ อยู่ในระหว่างให้นมบุตร หรือจำเป็นต้องดูแลลูกเล็ก ข้อมูลในปี 2562 แสดงให้เห็นว่ามีผู้ต้องขังหญิงที่ถูกคุมขังขณะตั้งครรภ์ 233 คน และผู้ต้องขังหญิงที่มีสถานะเป็นแม่รวมกันกว่า 80% ของผู้ต้องขังหญิงทั้งหมด
มิหนำซ้ำ การถูกจำกัดให้อยู่ในแดนหญิงยังส่งผลกระทบต่อร่างกายและจิตใจต่อผู้ต้องขังหญิงเป็นอย่างมาก เพราะพื้นที่การศึกษา พื้นที่ทำงาน หรือพื้นที่ออกกำลังกายถูกวางไว้ในแดนชาย แม้จะเข้าไปใช้งานได้แต่มีความยุ่งยาก คือ ต้องมีผู้คุมหญิงตามเข้าไปควบคุม กลายเป็นอุปสรรคต่อการตัดสินใจเข้าไปใช้งาน ซึ่งสำหรับผู้ต้องขังหญิงที่เป็นแม่นั้นอาจเรียกได้ว่าตกอยู่ในสภาวะลำบากทั้งร่างกายและจิตใจ เพราะไม่สามารถดำรงบทบาทของความเป็นแม่ที่ต้องดูแลลูกอย่างใกล้ชิด
“พอเข้าไปอยู่ในเรือนจำ ความทุกข์ของคนที่เป็นแม่ คือ การเป็นห่วงลูกที่อยู่ภายนอก กลัวว่าลูกจะลำบาก กลัวว่าลูกจะเครียด ซึ่งจากเดิมที่การเข้ามาอยู่ในเรือนจำก็สร้างความรู้สึกผิด ความรู้สึกเหยียดหยามอยู่แล้ว คนเป็นแม่เขาก็จะกังวลขึ้นไปอีกว่าลูกจะมีปมด้อยไหม” รศ.ดร.นภาภรณ์ หะวานนท์ ผู้รับผิดชอบโครงการเรือนจำสุขภาวะ ที่สนับสนุนโดยสำนักสนับสนุนสุขภาวะประชากรกลุ่มเฉพาะ (สำนัก9) สสส. กล่าว
หรือบางกรณีที่คลอดลูกในขณะอยู่ในเรือนจำ ก็ต้องเผชิญกับปัญหาที่เรือนจำไม่มีพื้นที่เฉพาะสำหรับการเลี้ยงเด็กแรกเกิด พอคลอดลูก ดูแลลูกได้ไม่นาน ก็ต้องส่งลูกออกไปอยู่กับครอบครัวที่อยู่นอกกำแพง ซึ่งต่อให้กฎหมายจะอนุญาตให้ลูกอยู่กับตัวเองได้ถึงอายุ 3 ปี แต่พื้นที่ในเรือนจำก็ไม่เหมาะสมกับการเติบโตของเด็ก และกว่าแม่ลูกจะได้พูดคุยกันอีกครั้งก็ตอนลูกโตพอที่จะมาเยี่ยม หรือไม่ก็พ้นโทษ ได้ออกจากเรือนจำ สายใยความผูกพันระหว่างแม่-ลูกจึงไม่ได้พัฒนาเติบโตอย่างที่ควรจะเป็น
“เวลาเราลงโทษแม่ จะมีอีกคนหนึ่งที่โดนลงโทษด้วยก็คือ ‘ลูก’ ลูกจะกลายเป็นเหยื่อที่มองไม่เห็น เพราะต่อให้เขาไม่ได้ทำผิดอะไร ตัวอยู่นอกเรือนจำ แต่งานวิจัยหลายๆ ประเทศพูดตรงกันว่า เด็กก็รู้สึกทุกทรมานใจไม่แพ้แม่เช่นเดียวกัน และไม่สามารถแสดงออกมาได้ ไม่มีใครที่ไว้ใจได้มากพอให้ระบาย”
เพื่อแก้ปัญหาที่เกิดขึ้น และสนับสนุนให้ผู้ต้องขังหญิงได้รับการปฏิบัติที่เหมาะสม องค์การสหประชาชาติ (United Nations : UN) จึงลงมติให้การรับรอง ‘ข้อกำหนดสหประชาชาติว่าด้วยการปฏิบัติต่อผู้ต้องขังหญิงในเรือนจำและมาตรการที่มีใช่การคุมขังสำหรับ ผู้กระทำผิดหญิง’ หรือเรียกสั้น ๆ ว่า ‘ข้อกำหนดกรุงเทพ (Bangkok Rules)’ ในวันที่ 21 ธันวาคม 2553 เพื่อยกระดับมาตรฐานในการปฏิบัติต่อผู้ต้องขังหญิงในประเทศต่างๆ โดยเฉพาะการปฏิบัติที่ต้องมีความไวต่อสภาวะของความเป็นเพศหญิง (Gender Sensitivity) ซึ่งรวมถึงสุขภาพอนามัยทางร่างกาย การตั้งครรภ์ การคลอด รวมถึงความวิตกกังวลต่อผู้ที่ตนเองต้องรับผิดชอบเลี้ยงดู เช่น พ่อแม่ที่ช่วยตัวเองไม่ได้ หรือลูกที่ยังเล็ก
ซึ่งข้อกำหนดกรุงเทพเป็นมาตรฐานสหประชาชาติฉบับแรกในโลก ที่จัดทำขึ้นเพื่อดูแลความต้องการเฉพาะของสตรีเพศ โดยมีประเทศไทยเป็นกำลังหลักในการรณรงค์สร้างความตระหนักรู้และแนวร่วมกับนานาประเทศ จนสามารถรวบรวมแนวปฏิบัติที่ดีและข้อเสนอแนะต่าง ๆ ที่เหมาะสมในการปฏิบัติต่อผู้ต้องขังหญิงทั่วโลก จนสามารถจัดทำเป็นร่างข้อกำหนดและเสนอให้สหประชาชาติรับรอง
นอกจากกำหนดกรุงเทพจะเน้นย้ำความสำคัญในการปฏิบัติต่อผู้ต้องขังหญิงแล้ว ยังให้ความสำคัญกับลูกของผู้ต้องขังหญิงเช่นเดียวกัน เพื่อเป็นหลักประกันว่าเด็กจะมีสุขภาพและพัฒนาการที่สมบูรณ์ อาทิ
(1) ข้อกำหนดที่ 28 : ในกรณีที่เด็กมาเยี่ยมผู้ต้องขัง ควรจัดให้มีการเยี่ยมในสภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อการสร้างประสบการณ์ที่ดี และสะท้อนถึงทัศนคติที่ดีของเจ้าหน้าที่เรือนจำ นอกจากนี้ ควรอนุญาตให้มีการเยี่ยมใกล้ชิดระหว่างมารดาและบุตร และหากเป็นไปได้ ควรสนับสนุนให้มีการขยายเวลาและรูปแบบการเยี่ยมระหว่างมารดาและบุตรด้วย
(2) ข้อกำหนดที่ 48 : ผู้ต้องขังหญิงที่เพิ่งคลอดบุตรควรได้รับการดูแลทางการแพทย์และโภชนาการ แม้ว่าบุตรที่เกิดนั้นจะไม่ได้อยู่ในเรือนจำกับผู้ต้องขังก็ตาม
(3) ข้อกำหนดที่ 49 : การพิจารณาอนุญาตให้บุตรอยู่ในเรือนจำร่วมกับมารดานั้น ให้คำนึงถึงประโยชน์สูงสุดที่เด็กจะได้รับเป็นสำคัญ ทั้งนี้ เด็กติดผู้ต้องขังจะต้องไม่ได้รับการปฏิบัติเสมือนเป็นผู้ต้องขัง
(4) ข้อกำหนดที่ 50 : ผู้ต้องขังหญิงที่มีบุตรอยู่ด้วยในเรือนจำ ควรได้รับโอกาสในการใช้เวลากับบุตรให้มากที่สุดเท่าที่จะกระทำได้
(5) ข้อกำหนดที่ 51 (2) : สภาพแวดล้อมในการเลี้ยงดูเด็กภายในเรือนจำควรมีความใกล้เคียงกับสภาพแวดล้อมของเด็กที่อยู่ภายนอกมากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้
โดยภายหลังที่มีการบังคับใช้ข้อกำหนดกรุงเทพ ข้อมูลจากหนังสือ ‘10 ปี เรือนจำสุขภาวะ จากคนล้นคุก สู่คุกสร้างคน กรุงเทพฯ : โครงการเรือนจำสุขภาวะ โดยการสนับสนุน ของสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.)’ ระบุว่า เรือนจำภายในประเทศไทยได้มีการสนับสนุนและส่งเสริมสุขภาวะของผู้ต้องขังภายใต้หลักการ ‘สุขภาวะเพื่อคนทั้งมวล (Health For All)’ โดยเริ่มจากกลุ่มผู้ต้องขังหญิงก่อน
แม้ว่าจะไม่มีงานวิจัยชิ้นใดมาการันตีได้ว่าระหว่างอยู่นอกเรือนจำกับคนอื่นหรืออยู่ในเรือนจำกับแม่อันไหนดีกว่ากัน แต่ ‘ชลธิช ชื่นอุระ’ หัวหน้ากลุ่มโครงการส่งเสริมการอนุวัติข้อกำหนดกรุงเทพ และการปฏิบัติต่อผู้กระทำผิด สถาบันเพื่อการยุติธรรมแห่งประเทศไทย (องค์กรมหาชน) (TIJ) ชี้ว่า สิ่งที่กระบวนการยุติธรรมควรรักษาไว้ คือ การสร้างและรักษาความสัมพันธ์ระหว่างแม่กับลูก
ข้อกำหนดนี้จึงไม่ได้สะท้อนว่าผู้หญิงหรือคนเป็นแม่จะต้องได้อภิสิทธิ์เหนือใคร แต่เป็นการคิดอย่างครอบคลุมเพราะทุกคนล้วนตระหนักว่า ผู้ชายกับผู้หญิงมีความต้องการที่แตกต่างกัน การมีอยู่ของข้อกำหนดกรุงเทพจึงทำให้ผู้ต้องขังหญิงได้ฟื้นฟูอย่างเหมาะสม และลูกของ ‘แม่ๆ ในเรือนจำ’ ก็จะมีสุขภาพและพัฒนาการที่สมบูรณ์เช่นกัน
อ้างอิง
(1) Bangkok Rules โดย สถาบันเพื่อการยุติธรรมแห่งประเทศไทย (องค์การมหาชน)
(2) หนังสือ ‘10 ปีเรือนจำสุขภาวะ: จากคนล้นคุก สู่คุกสร้างคน’ โครงการเรือนจำสุขภาวะ โดยการสนับสนุน ของสสส.
(4) นับเราด้วยคน EP.86 เหยื่อที่มองไม่เห็น ชีวิตของลูกเมื่อแม่ถูกจำคุก