มองคนผ่านผี : รู้จัก ‘ญิน’ ผี วิญญาณ หรือสิ่งเร้นลับที่อธิบายไม่ได้ในศาสนาอิสลาม

ถ้าคนพุทธเจอผีจะไปหาพระ แล้วถ้าคนมุสลิมเจอผีจะไปหาใคร?

ก่อนจะตอบคำถามนี้ได้ เราคงต้องมาทำความเข้าใจกันก่อนว่า ‘ผี’ ไม่ได้เป็นคำเดียวที่ใช้เรียกสิ่งลี้ลับหรือเหนือธรรมชาติ แล้วก็มีลักษณะแตกต่างกันไปตามความเชื่อที่แต่ละคนมี

‘ณิน (Jinn)’ เป็นชื่อเรียกของผี วิญญาณ หรือสิ่งเร้นลับที่อธิบายไม่ได้ในศาสนาอิสลาม ‘ลุกมาน กูนา’ เจ้าหน้าที่​มูลนิธิ​สร้างสุขมุสลิม​ไทย​ (สสม.)​ อาสามาเล่าเรื่องความเชื่อลี้ลับของคนมุสลิมให้ฟังกัน ผ่านรายการวิทยุนับเราด้วยคน ช่อง FM 105 MHz. (สามารถเข้าไปฟังได้ผ่านเว็บไซต์ https://section09.thaihealth.or.th)

ญินในศาสนาอิสลามไม่ได้เหมือนผีหรือสิ่งลี้ลับตามความเชื่อที่คนพุทธหรือคนศาสนาอื่นๆ จะมี แต่เป็นคำเรียกทั้งวิญญาณหรือสิ่งที่ลึกลับที่หาคำตอบไม่ได้อีกด้วย ตามความเชื่อของชาวมุสลิม ญินเป็นสิ่งที่พระเจ้าสร้างขึ้น หลังจากที่พระเจ้าสร้าง ‘นบีอาดัม’ มนุษย์คนแรกของโลกจากดินเรียบร้อยแล้ว พระเจ้าก็ได้มอบญินให้เป็นเพื่อนคู่กายหรือ ‘บัดดี้’ ของมนุษย์ และเพื่อให้ยึดมั่นในความดีที่รวมไปถึงการมีศรัทธาในพระเจ้าอีกด้วย

ญินจะอยู่คู่กับเราตั้งแต่เกิด แต่ตามหลักศาสนาอิสลามมนุษย์สร้างมาจากดิน และญินถูกสร้างมาจากไฟ ทำให้ญินเองก็เกิดความหยิ่งยโสขึ้นมา เพราะไม่พอใจว่าเหตุใดไฟที่สูงส่งอย่างญิน จะต้องมาเคารพมนุษย์ที่สร้างมาจากดินด้วย ลุกมานเล่าว่า ตามความเชื่อนี่จึงเป็นจุดเริ่มต้นของความร้าวฉานระหว่างญินกับมนุษย์ และญินกับพระเจ้าด้วยเช่นเดียวกัน

“ญินจะแบ่งออกเป็น 2 ประเภท มีทั้งญินที่ดี และญินที่ไม่ดี พอญินที่เป็นสิ่งที่ชั่วร้าย ทางมุสลิมจะเรียกว่า ‘ชัยฏอน’ หรือภาษาไทยอาจจะคุ้นเคยกับคำว่า ‘ซาตาน’ ญินที่ดีก็จะอยู่ในมิติของเขา ในโลกของเขา ไม่ได้ไปก้าวก่ายความเป็นอยู่ของมนุษย์”

เมื่อชัยฏอนหรือญินที่ไม่ดีโกรธแค้นมนุษย์ รู้สึกอิจฉาริษยามนุษย์ เขาจะใช้เล่ห์เหลี่ยมในการหลอกล่อให้มนุษย์หลงกล ปลุกปั่นให้มนุษย์ค่อยๆ หมดศรัทธากับพระเจ้าและหันมาบูชาชัยฏอนแทน เมื่อได้รับการบูชาญินประเภทนี้จึงแข็งแกร่งขึ้น

ญินก็เหมือนกับสิ่งลี้ลับประเภทอื่นที่ไม่ได้ปรากฎตัวออกมาชัดๆ ให้ได้เห็นกันทุกคน ถ้าอยากเห็นญินต้องเป็นคนที่มี ‘เซนส์’ เท่านั้น หรือไม่เช่นนั้น ญินอาจแปลงร่างให้เห็นในรูปแบบที่เขาอยากให้เห็น เช่น แปลงเป็นมนุษย์คนหนึ่งให้เราเห็น แต่เราดูแล้วอาจจะรู้สึกถึงความไม่ปกติ ไม่เหมือนมนุษย์ทั่วไป หรือแปลงร่างเป็นสัตว์ดุร้าย งูตัวใหญ่ เป็นต้น มนุษย์เห็นญินได้ก็ต่อเมื่อญินอยากจะปรากฏตัวให้เห็นเท่านั้น

“ในประวัติศาสตร์อิสลาม มีศาสดาหลายๆ ท่านเคยสัมผัสเคยเห็นญิน ในยุคสมัยหนึ่งของท่านนบีสุไลมาน หรือที่พี่น้องต่างศาสนิกอาจจะรู้จักในนามของ ‘โซโลมอน’ ซึ่งในยุคสมัยนั้น ท่านนบีสุลัยมานสามารถที่จะปกครองญินได้ คือพระเจ้าได้ให้ความพิเศษแก่ท่านนบีสุไลมานที่ว่า ท่านนบีสุไลมานสามารถที่จะปกครองญิน และสามารถเอาญินมาเป็นข้าบริวาร ข้ารับใช้ได้ ซึ่งในสมัยนั้น ถ้าเราเรียนประวัติศาสตร์ของพี่น้องอิสลามจะเห็นว่า ปราสาทที่ท่านนบีสุไลมานสร้างส่วนหนึ่งก็มาจากการใช้แรงงานจากญินในการสร้าง”

ถ้าใครเคยได้ดูหนังผีไทยก็คงจะมีความคุ้นเคยที่ตัวละครโดนผีสิงอยู่บ่อยๆ ญินเองก็สามารถสิงร่างมนุษย์ได้เหมือนกัน อาการของคนโดนสิงมักจะเก็บตัวเงียบๆ พูดไม่ค่อยรู้เรื่อง เดี๋ยวร้องไห้ เดี๋ยวหัวเราะ ไม่มีเรี่ยวแรง ได้แต่นอนอย่างเดียว เมื่อญินสิงร่างมนุษย์ ญินสามารถแทรกซึมไปตามกระแสเลือดในร่างกายของมนุษย์ได้เลย

‘รุกยะห์’ วิธีรักษาคนเจอญินในแบบของคนมุสลิม

มาถึงคำถามสำคัญที่ว่า ถ้าคนมุสลิมเจอญินไม่ดีจะต้องทำยังไง? ลุกมานบอกว่ามีวิธีรักษาคนที่โดนญินสิง การรักษาแบบที่ทางศาสนากำหนดไว้ คือ รักษาโดยบทคัมภีร์อัลกุรอาน ถ้าคนพุทธคุ้นเคยกับหมอผี ในศาสนาอิสลามมี ‘อุสตาซ’ ที่เป็นเหมือนอาจารย์รักษาโรค อุสตาซเป็นคนที่ต้องรักษาศีล ละหมาดครบ 5 เวลา ไม่มีการทำบาปเล็กและบาปใหญ่ ไม่พูดโกหก ต้องดำรงไว้ซึ่งการละหมาด อ่านอัลกุรอานอยู่ประจำ อีกทั้งต้องศึกษาเรื่องการรักษามนุษย์จากญินโดยเฉพาะด้วย ส่วน ‘รุกยะห์’ คือชื่อเรียกการรักษานี้

การรักษา หรือ รุกยะห์ มียารักษาที่เป็นตัวยาสมุนไพรที่ผ่านการอ่านอายะฮ์อัลกุรอานไว้แล้ว คล้ายกับน้ำมนต์ที่ผ่านการสวดมนต์ที่เราเคยได้ยินกันบ่อยๆ ถ้าคนที่โดนสิงร่างเป็นผู้หญิงก็จะมีคนรักษาที่เป็นผู้หญิง เพราะอาจจะมีบางช่วงที่มีการถูกเนื้อต้องตัวกัน วิธีรักษาจะอ่านอายะฮ์อัลกุรอานใส่หูให้ดังๆ ในบางครั้งถึงกับต้องอ่านใส่โทรโข่งเพื่อให้ดังมากขึ้นทีเดียว ลุกมานบอกด้วยว่า ตัวเขาเองเคยมีประสบการณ์ได้เห็นพิธีรุกยะห์ด้วย

“การรักษาจะต้องรักษาในที่โล่งๆ เปิดประตูกับหน้าต่างทุกบาน อุสตาซจะชักจูงให้ญินที่เข้าสิงคน มีการเข้ารับศาสนาอิสลาม ‘คุณจะรับอิสลามไหม จะรับนับถือไหม ถ้าไม่รับก็อย่ามาทำร้าย จะออกไปดี ๆ หรือไม่ออก’ สิ่งหนึ่งที่ศาสนาสอนไว้ก็คือ ถึงแม้ว่าจะเป็นการรักษาญิน หรือรักษาซาตานที่เข้าสิงร่างมนุษย์ ถึงแม้จะเป็นซาตานที่ไม่ดี ศาสนาก็บอกว่าห้ามไปทำร้ายซาตานตัวนั้น ต้องบอกเขาว่า ให้ออกไปดีๆ เพราะถ้าเราทำร้ายเขาไปแล้ว เขาอาจจะกลับทำร้ายเราอีก”

มีหลายสาเหตุที่ญินเข้ามาสิงร่าง แต่เหตุผลหลักๆ คือ เป็นญินที่ตกทอด เช่น มาจากตระกูลที่เล่นไสยศาสตร์มาก่อน หรือตระกูลที่มีส่วนของการใช้วิชาในการรักษาคน อย่างหมอตำแย หมอรักษาคนถูกญินเข้า ญินจึงตกทอดมาจากรุ่นสู่รุ่น เป็นไปได้เหมือนกันที่มนุษย์อาจจะเป็นฝ่ายไปรบกวนพื้นที่ของญินทั้งรู้ตัวหรือไม่รู้ตัว เช่น ไปเทน้ำร้อนแถวที่ที่ญินอยู่ เป็นต้น อีกหนึ่งเหตุผลก็คือเกิดจากความอ่อนแอในจิตใจของมนุษย์เอง

โลกหลังความตายในตามศาสนาอิสลาม

ตามความเชื่อของคนพุทธ เมื่อเวลาที่เจอผีหรือวิญญาณมาปองร้าย สิ่งหนึ่งที่ต้องรีบทำโดยเร็วคือการอุทิศส่วนกุศลให้กับวิญญาณเหล่านั้น เพื่อให้พวกเขาไม่มารังควาน หรืออโหสิกรรมให้กันและกัน แต่ในศาสนาอิสลามไม่มีความเชื่อเรื่องการให้อุทิศส่วนกุศล เพราะเมื่อวิญญาณออกจากร่างไปแล้ว จะไปอยู่ในโลก ‘อาลัมบัรซัค’ ซึ่งเป็นโลกที่ชาวมุสลิมเชื่อว่าเมื่อมนุษย์สิ้นชีวิตลงแล้ว วิญญาณจะมาอยู่ที่นี่ ก่อนที่จะอยู่ในโลกแห่งการพิพากษา เพราะฉะนั้นแล้วคนมุสลิมจึงไม่มีความเชื่อเรื่องการอุทิศส่วนกุศล  เนื่องจากมนุษย์กับวิญญาณอยู่คนละโลกกันแล้ว

“ในคำสอนของศาสนาอิสลาม บางทัศนะ ญินมีการเกิด แก่ เจ็บ ตาย แต่อายุขัยของเขาจะนานกว่ามนุษย์หน่อย พอตายญินก็ต้องเจอการลงโทษจากพระเจ้า ซึ่งมันจะมีอยู่วันหนึ่ง คือ วันแห่งการพิพากษา”

ในทางกลับกัน ลุกมานบอกถึงสิ่งที่คนมุสลิมเชื่อ คือ การทำความดีตั้งแต่ตอนที่มีชีวิตถ้าทำความดีตั้งแต่ตอนที่ยังมีชีวิตอยู่ จะช่วยให้มีชีวิตอย่างสุขสบายในหลุมฝังศพ ความดีที่ทำจะติดตัวเราไปแม้กระทั่งตอนที่เราตาย และเริ่มถูกตัดสินในวันพิพากษา

ซึ่งโลกของวันพิพากษานี่เองคือการเกิดใหม่ในแบบฉบับของศาสนาอิสลาม เมื่อตายไป ชีวิตที่อยู่ในโลกมนุษย์ก็ถือเป็นการสิ้นสุด ไปอยู่ในโลกตรงกลางเพื่อรอที่จะเข้าไปในโลกของการพิพากษา และจะได้เกิดใหม่ในวันพิพากษานั้นเอง ในโลกนี้ทุกคนจะมีชีวิตอยู่แบบไม่มีวันสิ้นสุด ถ้าหากทำความดีก็จะได้ขึ้นสวรรค์ แต่ถ้าหากตอนที่อยู่โลกมนุษย์ได้ทำบาปเอาไว้ก็ต้องไปชำระล้างในนรก เมื่อร่างกายสะอาดแล้วจึงสามารถขึ้นสวรรค์ได้

ที่สุดแล้วโลกของวิญญาณก็มีความแตกต่างเหมือนกับโลกมนุษย์ โลกมนุษย์มีความหลากหลาย ทั้งเชื้อชาติ ศาสนา ภาษา วัฒนธรรม ฯลฯ เป็นไปได้เหมือนกันว่าโลกของวิญญาณก็ไม่ได้มีแค่ผี เทวดา หรือซาตาน  แต่ยังมีอีกหลากหลายรูปแบบของวิญญาณที่เป็นไปตามแต่ละความเชื่อ และวัฒนธรรมที่แตกต่างกันออกไป 

ถึงแม้ต่างชาติจะไม่เข้าใจผีที่มาจากต้นกล้วยอย่างผีตานี ส่วนคนไทยเองก็คงไม่เข้าใจผีที่กลัวกระเทียมอย่างแวมไพร์เหมือนกัน  แต่ความเข้าใจนั้นจะไม่ใช่ปัญหา ถ้าทุกคนเคารพในความเชื่อของกันและกัน

Shares:
QR Code :
QR Code

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ระบุข้อความ