“คณะวิทยาศาสตร์การกีฬาฯ เปิดรับคนตาบอดน้อย เรามาที่นี่เพื่อให้เขารู้ว่า ยังมีเด็กพิการที่สนใจด้านกีฬาอยู่” ‘เด็กพิการเรียนไหนดี’ งานแนะแนวที่เชื่อว่า เด็กทุกคนควรมีสิทธิ์ได้เรียนอย่างที่อยากเรียน

“มีข้อมูลเกี่ยวกับคณะวิทยาศาสตร์การกีฬาไหมครับ” 

คำถามที่เด็กชายสวมเสื้อพละโรงเรียนกำลังถามกับเจ้าหน้าที่ประจำบูทแห่งหนึ่ง ข้างหลังเขามีเด็กผู้ชายอีกคนที่เกาะหลังแน่น ราวกับอาศัยให้คนหน้าช่วยนำทางให้

‘มาร์ช’ เป็นชื่อของเด็กชายที่เรารับรู้หลังเข้าไปคุย เขาและเพื่อนมาจากโรงเรียนแห่งหนึ่งที่มี ‘นักเรียนพิการ’ จำนวนหนึ่ง ทำให้ทางโรงเรียนตัดสินใจพานักเรียนเหล่านี้มาที่งาน ‘เด็กพิการเรียนไหนดี ปี 67’ งานมหกรรมแนะแนวการศึกษาต่อสำหรับน้องๆ นักเรียนพิการที่สนใจอยากเรียนต่อในระดับต่างๆ เช่น มัธยมศึกษา ปวช.(ประกาศนียบัตรวิชาชีพ) ปริญญาตรี และรูปแบบอื่นๆ   

งานมหกรรมดังกล่าวเกิดขึ้นจากความร่วมมือของมูลนิธิด้วยกันเพื่อคนพิการและสังคม สำนักสนับสนุนสุขภาวะประชากรกลุ่มเฉพาะ (สำนัก 9) โดยสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) ร่วมกับ มูลนิธิด้วยกันเพื่อคนพิการและสังคม และภาคีเครือข่ายอีกมากมายเพื่อสร้างโครงการแนะแนวการศึกษาที่มีไว้สำหรับเด็กพิการโดยเฉพาะ 

หลังจากที่ได้ทำงานคลุกคลีกับคนพิการเป็นเวลานาน ทางมูลนิธิด้วยกันเพื่อคนพิการและสังคมได้รับรู้ว่า มีเด็กพิการหลายคนที่อยากได้ข้อมูลการศึกษาต่อในระดับต่างๆ โดยเฉพาะระดับมหาวิทยาลัย แต่ว่าพวกเขามีข้อจำกัดในการหาข้อมูล รวมถึงงานแนะแนวการศึกษาที่มีมักเอื้อให้กับคนทั่วไปมากกว่า ทำให้มูลนิธิฯ ตัดสินใจมาทำงานเรื่องการศึกษาของเด็กพิการโดยเฉพาะ ไม่ว่าจะเป็นการจัดงานมหกรรมดังกล่าว หรือสร้างเว็บไซต์และเพจออนไลน์ที่ชื่อว่า เด็กพิการเรียนไหนดี เพื่อเป็นอีกช่องทางที่ให้ข้อมูลสำคัญกับพวกเขาได้

งานมหกรรมเพิ่งจัดไปเมื่อวันที่ 8 พฤศจิกายน 2566 ที่ศาลาว่าการกรุงเทพมหานคร 2 ภายในงานมีสถาบันการศึกษามากถึง 25 สถาบันมาตั้งบูทให้เด็กๆ ได้หาข้อมูลกันอย่างเต็มที่  

นอกจากนี้ ยังมีกิจกรรมที่จะพาน้องๆ เตรียมตัวก่อนเข้าสู่สนามแข่งขันจริงอย่างกิจกรรม ‘ปั้นพอร์ต – ปั้นคำ’ ซึ่งเป็นการแนะนำขั้นตอนการจัดพอร์ตฟอลิโอ หรือแฟ้มสะสมผลงาน สำหรับการยื่นเข้ามหาวิทยาลัย และคำแนะนำสำหรับรอบสัมภาษณ์ว่าควรเตรียมตัวอย่างไรบ้าง  อีกกิจกรรมที่ขาดไม่ได้ก็คือ ‘เปิดวงแชร์ประสบการณ์รุ่นพี่ชวนฝัน’ โดยจะมีรุ่นพี่ที่มีความพิการจากหลากหลายคณะ หลากหลายมหาวิทยาลัย มาให้คำแนะนำและบอกเล่าถึงประสบการณ์การเรียนโดยตรง เรียกได้ว่าถ้าหากได้เข้ามาเยี่ยมชมงานนี้แล้วจะได้ความรู้กลับบ้านไปมากมายและมีกำลังใจในการเรียนมากขึ้นแน่นอน

นักเรียนช่างฝันที่ไม่หยุดฝัน

ระหว่างเดินสำรวจงานไปรอบๆ เราก็ได้เห็นนักเรียนพิการทางการมองเห็น 2 คน เร่งฝีเท้ามาอยู่ตรงหน้าบูธของมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์โดยคำถามแรกที่ ‘มาร์ช’ ถามกับเจ้าหน้าที่แนะแนวคือ ‘มีข้อมูลเกี่ยวกับคณะวิทยาศาสตร์การกีฬาไหมครับ’ ใครหลายคนอาจจะสงสัยว่าคนพิการทางการเห็นจะอยากเรียนด้านกีฬาไปทำไม ซึ่งมมาร์ชเล่าให้เราฟังว่า เขาชื่นชอบกีฬาตั้งแต่เด็ก มีโอกาสได้เข้าไปเล่นกีฬาโกลบอล ถึงขั้นเข้าแข่งขันทั้งในระดับเยาวชนทีมชาติ และระดับประเทศ การมาเยือนงานครั้งนี้มาร์ชกับเพื่อนๆ เลยมาดูว่ามีมหาวิทยาลัยไหนบ้างที่ต้อนรับเด็กพิการทางการเห็นให้ได้เข้าเรียน 

“คณะวิทยาศาสตร์การกีฬาเปิดรับคนพิการทางการเห็นน้อยครับ เขาคงไม่รู้จะสอนยังไง ยิ่งเป็นกีฬาที่มีการเคลื่อนไหวมันคงยาก เรามาที่นี่เพื่อให้เขารู้ด้วยว่า คนพิการก็มีความสามารถ แล้วก็ยังมีเด็กพิการที่สนใจด้านกีฬาอยู่ครับ”

มาร์ชเล่าอีกว่า ถ้าหากตัวเองได้ทำตามความฝันนี้สำเร็จ เมื่อเขาโตขึ้นเขาอยากเป็นครูพละและนำความรู้ที่ได้มาสอนน้องที่มองไม่เห็นรุ่นต่อๆ ไป

‘จ๋า’ เพิ่งเข้าเรียนเป็นนักศึกษาปี 1 วิทยาลัยพัฒนศาสตร์ ป๋วย อึ๊งภากรณ์ จ๋าเป็นเด็กที่พิการทางด้านการมองเห็น เธอเล่าให้ฟังว่า นอกจากการเตรียมตัวหาข้อมูลด้วยตัวเองแล้ว การมีงานแนะแนวการศึกษาแบบนี้ ก็เป็นส่วนช่วยให้เธอเข้าถึงข้อมูลอื่นๆ ได้มากยิ่งขึ้น จ๋าสนใจเรื่องการพัฒนาระบบการศึกษามาก เพราะตลอดเวลาที่อยู่ในรั้วโรงเรียนเธอมักสังเกตได้จากตัวเองและเพื่อนๆ ว่า มีช่องว่างบางอย่างที่ทำให้เด็กพิการทางการเห็นยังมีอุปสรรคในการเรียนรู้ ด้วยเหตุนี้เป้าหมายของเธอ คือ การพัฒนาระบบการศึกษา ทั้งหลักสูตรและสภาพแวดล้อมในโรงเรียนเพื่อให้น้องๆ รุ่นต่อไปสามารถเรียนได้อย่างเต็มที่มากขึ้น

“พอได้ศึกษาข้อมูล หนูรู้สึกดีใจมาก เพราะไม่เคยไปร่วมงานแบบนี้ เคยไปของเด็กปกติก็จะไม่มีข้อมูลสำหรับเรา ดีใจที่คนภายนอกเห็นความสำคัญของการศึกษาของคนพิการ”

เมื่อมาถึงช่วงของกิจกรรม ‘เปิดวงแชร์ประสบการณ์รุ่นพี่ชวนฝัน’ มีรุ่นพี่จากหลากหลายคณะมาเล่าเรื่องชีวิตของมหาวิทยาลัยและให้คำแนะนำกับน้องๆ อย่างใกล้ชิด ในตอนนั้นเองที่เราได้พบ ‘บอล’ เด็กนักเรียนพิการทางการเคลื่อนไหวที่กำลังตั้งใจฟังรุ่นพี่จากคณะนิติศาสตร์บรรยายอยู่

ตอนเป็นเด็กมัธยมต้น ใครหลายคนอาจจะยังไม่ได้สนใจเรื่องมหาวิทยาลัยเพราะเนื่องจากยังมีเวลาอีกตั้งหลายปี ในการเตรียมตัว แต่สำหรับบอลที่กำลังศึกษาอยู่ในชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 เขาสนใจเรื่องมหาวิทยาลัยมากเพราะมีเป้าหมายบางอย่างที่อยากจะทำให้สำเร็จ 

เป้าหมายที่ว่าก็คือการได้ดูแลครอบครัวในฐานะที่เป็นลูกคนกลาง และถึงแม้ว่าหนทางที่จะเรียนต่อมหาวิทยาลัยยังไม่เข้ามาใกล้เท่าไหร่ แต่บอลก็รู้สึกว่าในเมื่อเรารู้จักตัวเองแล้วการเตรียมความพร้อมตั้งแต่ตอนนี้ก็เป็นเรื่องที่ดี 

บอลเป็นเด็กที่มีความพิการทางการเคลื่อนไหวต้องนั่งวีลแชร์ แต่ความพิการก็ไม่เป็นอุปสรรคต่อการเข้าร่วมงานนี้ เพราะภายในงานมีอาสาสมัครคอยดูแลและอำนวยความสะดวกให้เด็กๆ อย่างทั่วถึง บอลเล่าให้ฟังว่าเขาสนใจคณะนิติศาสตร์ เพราะเคยไปทำแบบทดสอบตัวเองแล้วพบว่าคณะที่เข้ากับตัวเองมากที่สุดคือคณะนี้ ภายในวันนั้นบอลจึงใช้เวลาส่วนใหญ่ในการเก็บข้อมูลเกี่ยวกับคณะนิติศาสตร์

การเข้าคณะนิติศาสตร์เป็นเป้าหมายหนึ่ง แต่อีกเป้าหมายนึงที่สำคัญมากสำหรับบอลอยากทำให้ได้คือการเติบโตขึ้นและสามารถดูแลครอบครัวของตัวเองได้ ซึ่งก่อนจะจากบอลไปเราก็ได้เอาใจช่วยให้บอลทำตามที่ตั้งใจไว้ให้สำเร็จ

ชีวิตในรั้วมหาวิทยาลัยของนักศึกษาพิการทางการเห็น

เมื่อคุยกับเด็กๆ เรียบร้อยแล้วเราก็มีโอกาสได้พูดคุยกับฟันเฟืองสำคัญที่ทำงานเด็กพิการเรียนไหนดีครั้งนี้สมบูรณ์แบบมากยิ่งขึ้น นั่นคือรุ่นพี่ที่มีประสบการณ์เข้ามหาวิทยาลัยเรียบร้อยแล้ว ‘บิ๊กเบล’ รุ่นพี่จากคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ วันนี้เขาได้มาให้ความรู้และแชร์ประสบการณ์ชีวิตของเขาในรั้วมหาวิทยาลัยเพื่อให้น้องๆ เตรียมตัวกันให้พร้อมมากยิ่งขึ้น 

บิ๊กเบลบอกว่า สภาพแวดล้อมในมหาวิทยาลัยเป็นสิ่งสำคัญที่เด็กพิการต้องพิจารณา เขายกตัวอย่างมหาวิทยาลัยที่ตัวเองเรียนมา  เพราะเป็นพื้นที่ที่ค่อนข้างให้ความสำคัญกับ Universal Design หรือการออกแบบเพื่อทุกคน เมื่อมีสถานที่ที่เอื้ออำนวยทำให้คนพิการก็สามารถเดินทางไปไหนก็ได้ ทำให้ทั้งนักศึกษาพิการและไม่พิการสามารถเชื่อมต่อและรู้จักกันได้มากยิ่งขึ้น ก็ยิ่งเป็นการสร้างสังคมที่เปิดรับความหลากหลายได้อีกด้วย

“สังคมไทยมีความคาดหวังต่อคนพิการในระดับที่ต่ำ พอเราบอกว่าเป็นนักกฎหมายนะ เขาก็จะรู้สึกประหลาดใจมากที่คนตาบอดสามารถทำอาชีพนี้ได้ มองเราเป็นเพชรในโคลนตมแบบนั้น พูดเหมือนเราเป็นฮีโร่ในหมู่คนพิการเลย แต่จริงๆ เขามองเราด้วยชื่นชมแบบฉาบฉวย พอถามว่าจะรับเราไปทำงานมั้ย ก็ไม่”

นี่คือความรู้สึกของบิ๊กเบลเมื่อเราถามถึงทัศนคติของคนในสังคมที่มีต่อการประกอบอาชีพของคนพิการ สำหรับบิ๊กเบลแล้วการที่ได้เป็นนักกฎหมายมันเป็นการพิสูจน์ตัวเอง และลบคำครหาที่ว่าคนพิการประกอบอาชีพอื่นๆ ไม่ได้อีกด้วย ส่วนตัวบิ๊กเบลเองอยากช่วยเหลือสังคมจึงเลือกทำงานเป็นนักกฎหมายให้กับสมาคมคนตาบอดแห่งประเทศไทย โดยบิ๊กเบลเป็นนักกฎหมายที่ดูแลด้านสิทธิ ทำหน้าที่ไกล่เกลี่ยเวลาคนพิการเจอการเลือกปฏิบัติ เช่น ธนาคารไม่ยอมเปิดบัญชีให้ เพราะมองว่าคนตาบอดเป็นคนเสมือนไร้ความสามารถ เป็นต้น

ก่อนจะจากกันไปบิ๊กเบลก็ได้ฝากข้อความไปถึงเด็กๆ ทุกคนที่จะเข้าคณะนิติศาสตร์หรือคณะอะไรก็ตามว่า “ถ้ามีความชื่นชอบในกฎหมายและเชื่อว่าเราชอบในสิ่งนี้จริงๆ ไม่ต้องกลัว แนะนำให้เรียนก่อนเลย เพราะกฎหมายสามารถเอาไปใช้ในอาชีพอื่นๆ ได้หมดเลย การเป็นนักกฎหมายจะสร้างให้เราเป็นคนคิดอย่างมีเหตุผล มีการวิเคราะห์ ถ้าเรามีความชอบและความเชื่อมั่นในตัวเองจริงๆ เราทำได้แน่นอน”

เปิดโลกให้กว้างและพาเด็กพิการไปตามฝัน

โลกของเด็กพิการไม่ได้แคบอย่างที่ใครหลายคนคิด เด็กพิการทุกคนไม่ได้อยากจะโตขึ้นไปแล้วทำอาชีพที่คนอื่นกำหนดไว้อย่างเดียว ถ้าเด็กคนอื่นมีความฝันได้เด็กพิการก็มีความฝันได้ พวกเขาเองมีความชื่นชอบและความหลงใหลในเรื่องต่างๆ ที่แตกต่างกันออกไป เพื่อที่จะให้พวกเขาได้ออกท่องโลกกว้างได้เต็มที่สภาพแวดล้อมและสังคมเองก็ต้องเปิดพื้นที่ที่ให้พวกเขาได้มองหาความฝันของตัวเองด้วย 

“การกำหนดอาชีพให้คนพิการเกิดขึ้นโดยสังคมและคนตาบอดด้วยกันเอง จนทำให้เกิดอาชีพที่คนตาบอดถูกจำกัดไว้ว่า ‘ต้องทำแค่นั้น’ ทั้งขายสลาก นวด ร้องเพลง ไม่ว่าจะเรียนจบอะไรมาก็ทำงานแค่นี้ มันก็เหมือนการผลิตซ้ำให้สังคมเข้าใจว่าคนพิการทำได้แค่นี้ จริงๆ มันก็เป็นการสร้างอัตลักษณ์ผิดๆ ให้กับคนพิการ  อย่างผมเป็นนักกฎหมายคนก็ทั้งตกใจและชื่นชมมาก แต่ก็ไม่ได้ให้ผมไปทำงานด้วยอยู่ดี” บิ๊กเบล กล่าว 

โครงการนี้นอกจากจะช่วยให้เด็กๆ สามารถค้นพบตัวเองได้แล้ว กิจกรรมดังกล่าวยังสามารถมีส่วนช่วยให้เด็กพิการไม่หลุดออกไปจากระบบการศึกษาอีกด้วย เพราะถ้าหากสังคมไม่สนับสนุนให้เด็กพิการได้เข้าถึงทางเลือกของการศึกษามากพอ เป็นไปได้ว่าเด็กหลายคนอาจจะไม่สามารถมองเห็นอนาคตและเป้าหมายของตัวเองได้ ในเมื่อไม่มีเป้าหมายจึงทำให้ไม่รู้ว่าจะเรียนไปทำไม จนสุดท้ายพวกเขาจึงตัดสินใจไม่ศึกษาต่อในที่สุด

“เราค้นพบว่าคนพิการเยอะมากๆ ที่หลุดจากระบบการศึกษา ตั้งแต่ระดับการศึกษาขั้นพื้นฐาน เช่น มีเพียงไม่ถึง 50% ของคนพิการทั้งหมดที่สามารถเข้าเรียนระดับมัธยมศึกษาได้ ส่วนสถิติที่เด็กเหล่านี้จะเข้าไปเรียนต่อมหาวิทยาลัยมีเพียงแค่ 0.3% เท่านั้น ซึ่งเป็นสถิติที่อยู่นิ่งแบบนี้มาตลอดระยะเวลาผ่านมา 5 ปี แต่ที่น่าสนใจคือ 100% ของ 0.3% ตรงนี้สามารถเรียนได้จนจบปริญญาตรี” 

‘หนิง’ สาวิตรี อริยชัยเดช จากมูลนิธิด้วยกันเพื่อคนพิการและสังคมบอกกับเรา หนิงเป็นหนึ่งในทีมงานที่ร่วมลงมือลงแรงให้กิจกรรมนี้เกิดขึ้นมาเพราะเธอเองก็อยากผลักดันให้เด็กทุกคนที่ไม่ว่าจะมีความพิการอะไรก็ตามสามารถเข้าถึงการศึกษาได้ 

งานมหกรรมนี้อาจเป็นผลลัพธ์หนึ่งที่เกิดขึ้นจากเป้าหมายนี้ คงต้องอาศัยส่วนอื่นๆ ในสังคมเข้ามาผลักดัน ต่อไป เพราะสุดท้ายแล้วตัวเราคงอยากเป็นคนกำหนดว่าเราจะเป็นอย่างไร จะทำอาชีพ หรือโตไปแบบไหน ถึงร่างกายจะแตกต่าง แต่เป็นสิทธิ์ที่ทุกๆ คนควรได้รับ 

Shares:
QR Code :
QR Code

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ระบุข้อความ