“2 ล้านกว่าคน” เป็นตัวเลขอย่างเป็นทางการของ “แรงงานข้ามชาติ” ในประเทศไทย แต่สำหรับอดีตนายทหารที่ปัจจุบันเกษียณอายุราชการแล้ว ซึ่งในอดีตเคยดำรงตำแหน่งเจ้ากรมกิจการชายแดน อย่าง พล.อ.นิพัทธ์ ทองเล็ก คณะกรรมการบริหารแผน คณะที่ 2 สสส. และที่ปรึกษาผู้ว่าราชการกรุงเทพฯ คาดการณ์ว่า จริง ๆ แล้วอาจสูงกว่านั้นมาก
ข้อมูลข้างต้น พล.อ.นิพัทธ์ กล่าวไว้ในการบรรยายพิเศษ เรื่อง “แรงงานข้ามชาติ: มูลค่าและคุณค่าต่อประเทศไทย” ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของการประชุมวิชาการและแลกเปลี่ยนเรียนรู้ “เสียงที่คนอื่นไม่ได้ยิน: ประชากรกลุ่มเฉพาะ ครั้งที่ 2 (ห้องย่อย: เวทีสาธารณะ หัวข้อ: แรงงานข้ามชาติกับสิทธิที่ไปไม่ถึง: บทบาทภาครัฐ เอกชน ประชาสังคม ต่อการคุ้มครอง ส่งเสริม พัฒนา)” โดยเฉพาะด้านตะวันตก พรมแดน “ไทย-เมียนมา” ที่ยังคงมีแรงงานเข้ามาอย่างต่อเนื่องไม่ขาดสาย จากสถานการณ์ในประเทศต้นทางที่ไม่เคยสงบมานานหลายสิบปี

โดยหากติดตามข่าวสารผ่านสื่อมวลชน ก็จะเห็นข่าวตำรวจ-ทหาร ตรึงกำลังลาดตระเวนตามแนวชายแดน เฝ้าระวังและจับกุมบุคคลจากประเทศเพื่อนบ้านที่พยายามข้ามฝั่งมาหางานทำในประเทศไทย ดังนั้นโจทย์สำคัญคือ ทำอย่างไรจะให้แรงงานข้ามชาติเข้าประเทศไทยได้อย่างถูกต้อง และให้แรงงานข้ามชาติที่เข้าสู่ระบบแล้วได้รับการดูแล
นายมนัส โกศล ประธานสภาองค์การลูกจ้างพัฒนาแรงงานแห่งประเทศไทย ซึ่งร่วมบรรยายพิเศษเรื่องเดียวกับ พล.อ.นิพัทธ์ กล่าวเพิ่มเติมในประเด็น “การเข้าถึงสิทธิประกันสังคมของแรงงานข้ามชาติ” ว่า ปัจจุบันมีแรงงานข้ามชาติอยู่ในระบบประกันสังคมราว 1.28 ล้านคน หากเทียบกับตัวเลขแรงงานข้ามชาติอย่างเป็นทางการราว 2 ล้านคน
เท่ากับว่ามีแรงงานข้ามชาติอีกราว 8 แสนคน ที่ไม่ได้เข้าระบบประกันสังคม ซึ่งคาดว่าน่าจะเป็น “แรงงานเกษตรตามฤดูกาล” กับ “ลูกจ้างทำงานบ้าน” ที่ปัจจุบันมีกฎกระทรวงยกเว้นไว้ทำให้ไม่ได้เข้าระบบ สิ่งที่ต้องคิดต่อคือจะแก้ไขกฎกระทรวงดังกล่าวได้อย่างไร เพื่อให้แรงงานข้ามชาติที่เข้าเมืองอย่างถูกต้องตามกฎหมายทุกคนเข้าถึงสิทธิประกันสังคม

นอกจากนั้น “สิทธิบำเหน็จประกันสังคมของแรงงานข้ามชาติควรปรับให้เหมาะสมกับสภาพการจ้างงานจริง” กล่าวคือ ปัจจุบันแรงงานข้ามชาติจะอยู่ในประเทศไทยได้ไม่เกิน 4 ปีแล้วต้องถูกส่งกลับประเทศต้นทาง ดังนั้นแม้แรงงานข้ามชาติจะอยู่ไม่ถึง 180 เดือน (หรือ 15 ปี) ซึ่งเข้าเงื่อนไขระยะเวลาส่งเงินสมทบต่อเนื่องแล้วได้บำนาญ แต่ก็ยังมีสิทธิได้รับบำเหน็จ มาก-น้อย แล้วแต่จำนวนเงินสมทบที่จ่ายและระยะเวลาจ่ายเงินสมทบต่อเนื่อง แต่ปัญหาคือกฎหมายระบุว่าจะรับบำเหน็จได้ตอนอายุ 55 ปี แรงงานข้ามชาติที่ต้องกลับประเทศจึงเสียสิทธินี้ไปโดยปริยาย
จากนั้นเป็นเวทีสานเสวนา “สถานการณ์การเข้าไม่ถึงสิทธิของแรงงานข้ามชาติกลุ่มอาชีพต่าง ๆ บทบาทภาครัฐ เอกชน ประชาสังคม ต่อการคุ้มครอง ส่งเสริม พัฒนา” โดยวิทยากรท่านแรกคือ น.ส.พรรณี รวมทรัพย์ ผู้อำนวยการกลุ่มงานส่งเสริมการคุ้มครองแรงงานนอกระบบ กรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน กระทรวงแรงงาน รายงานความคืบหน้าของภาครัฐในการปรับปรุงกฎหมายต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง
อาทิ กฎกระทรวงฉบับที่ 14 (พ.ศ.2555) ว่าด้วยลูกจ้างทำงานบ้าน กำหนดความคุ้มครองวันหยุดประจำสัปดาห์ วันหยุดตามประเพณี วันลา ต่อมายังมีแนวคิดปรับแก้อีก 11 เรื่อง เช่น เพิ่มเรื่องเวลาทำงาน สิทธิความคุ้มครองลูกจ้างหญิงตั้งครรภ์ ไปจนถึงการจ่ายค่าจ้างที่ไม่น้อยกว่าอัตราค่าจ้างขั้นต่ำ ปัจจุบันเป็นร่างกฎหมายออกมาแล้ว จากนั้นกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน ร่างฯ นี้ส่งรัฐมนตรี จากนั้นให้ทางกฤษฎีกา เมื่อเรียบร้อยก็ส่งกลับมาให้กระทรวงแรงงาน เพื่อให้รัฐมนตรีลงนามประกาศในราชกิจจานุเบกษาต่อไป
อย่างไรก็ตาม ในมุมมองของ “นายจ้าง” สิ่งที่ต้องการคือ “ช่องทางการนำเข้าแรงงานข้ามชาติที่ถูกต้องตามกฎหมายแบบสะดวก รวดเร็วและราคาไม่แพง” โดยวิทยากร 2 ท่านที่เป็นนายจ้าง คือ นายมงคล สุขเจริญคณา ประธานสมาคมการประมงแห่งประเทศไทย กับ นายสมมาส สุภาผล ประธานกลุ่มสับปะรดแปลงใหญ่อำเภอบางละมุง เห็นตรงกันว่า หากรัฐลดขั้นตอนที่ยุ่งยากซับซ้อนจะได้ประโยชน์ในการลดค่าใช้จ่ายทั้งของนายจ้างและลูกจ้าง ดีกว่าไปบีบให้ใช้บริการ “นายหน้า” ที่มีค่าใช้จ่ายสูง
“จากขึ้นทะเบียนตามมติ ครม. (คณะรัฐมนตรี) ต่า งๆ 2-3 มติที่ผ่านมา ค่าใช้จ่ายอยู่ที่ประมาณ 3-4 พันบาทเท่านั้นเอง แต่บริษัทพวกนี้ (นายหน้าจัดหาแรงงานข้ามชาติ) หมื่นห้าหรือหมื่นสองเป็นอย่างน้อย บางคนได้มาหมื่นสองคุยใหญ่เลยว่าได้ลดราคาถูกจังเลย ซึ่งผมให้น้อง ๆ ที่รู้จักกันไปดูให้ ไปช่วยทำให้ โดยเฉพาะภาคการเกษตร เสียค่าใช้จ่ายประมาณ 5 พันกว่าบาท ก็มีกำไรไปช่วยจ่ายค่าน้ำ-ค่ากาแฟคนช่วยทำ ลองคิดดู 5-6 พันบาท กับ 15,000 บาท มันต่างกันเท่าไร” นายสมมาส ระบุ

เช่นเดียวกับ นายสุชาติ ตระกูลหูทิพย์ มูลนิธิเพื่อสุขภาพและการเรียนรู้ของแรงงานกลุ่มชาติพันธุ์ ที่กล่าวว่า เวทีวันนี้มีประเด็นที่ 3 ฝ่ายทั้งนายจ้าง ลูกจ้าง และภาคประชาสังคม (NGO) เห็นตรงกันคือการลดขั้นตอนและการอำนวยความสะดวกในการขึ้นทะเบียนแรงงานข้ามชาติ โดยหลังจากเวทีครั้งนี้ จะต้องมีการร่วมประกาศจุดยืนที่ชัดเจนให้รัฐต้องดำเนินการ ไม่ใช่ปัดทุกอย่างให้เข้าไปสู่ระบบนายหน้า
ด้าน นายชูวงค์ แสงคง นักวิจัยอิสระ กล่าวถึงปัญหา “การทำประกันสุขภาพสำหรับแรงงานข้ามชาติ” ว่า แม้กระทรวงสาธารณสุขส่งเสริมให้ซื้อประกันสุขภาพแรงงานข้ามชาติ ของสาธารณสุข แต่พอไปซื้อจริง ๆ กลับพบเงื่อนไขที่ปฏิบัติตามได้ยาก เช่น ต้องซื้อพร้อมกันทั้งครอบครัว หากครอบครัวหนึ่งมีสมาชิกหลายคนและอยู่ในสถานการณ์ทางเศรษฐกิจที่ไม่ดีนักก็ไม่สามารถซื้อได้ ส่วนการเข้าถึงระบบประกันสังคม พบปัญหากิจการขนาดเล็กมีลูกจ้างไม่กี่คน ไม่มีเจ้าหน้าที่ฝ่ายบุคคลเป็นกิจจะลักษณะ ก็มักจะไม่เข้าประกันสังคม แม้กฎหมายจะกำหนดให้ต้องเข้าก็ตาม เนื่องจากมองว่ามีขั้นตอนยุ่งยาก เช่น การหักเงินส่งสมทบ

นางสุจิน รุ่งสว่าง ประธานสมาพันธ์ศูนย์ประสานงานแรงงานนอกระบบแห่งประเทศไทย เสนอแนะว่า กระทรวงแรงงาน ควรพัฒนาศักยภาพ “อาสาสมัครแรงงาน” ซึ่งมีบทบาทในการเข้าถึงแรงงานในพื้นที่ เป็น “ด่านหน้า” คอยสื่อสารสร้างความเข้าใจในเรื่องที่แรงงานข้ามชาติควรรู้ เช่น กฎหมายและสิทธิต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง ขณะเดียวกัน ระบบการขึ้นทะเบียนแรงงานควรขยายลงไปสู่ระดับจังหวัด เพื่อให้เกิดความสะดวกมากขึ้น
“อาสาสมัครที่อยู่ในพื้นที่ สามารถช่วยและทำเรื่องระบบเหล่านี้เพื่อให้แรงงานข้ามชาติเข้าถึงระบบ ไม่ว่าจะต่อบัตรหรือเข้าถึงการคุ้มครอง มีกฎหมายคุ้มครองไหม มีกฎหมายอะไรบ้าง เข้าถึงประกันสังคมได้ไหม แล้วถ้าเข้าแล้วเขาจะได้อะไรบ้าง หมายถึงเราให้ความรู้เรื่องเหล่านี้ การสร้างความเข้าใจแบบพี่น้องกัน” นางสุจิน กล่าว