สถิติเผย “เหยื่อข่มขืน” ส่วนใหญ่คือผู้หญิงและคนพิการ
สถิติเผย “เหยื่อข่มขืน”ส่วนใหญ่คือผู้หญิงและคนพิการ
.
.
สถานการณ์ความรุนแรงในสังคมยังคงมีอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะกลุ่มคนที่ไม่สามารถต่อสู้ในเชิงอำนาจและพละกำลังได้ทางสังคม โดยเฉพาะกลุ่มเด็กและผู้หญิงพิการ ซึ่งถือว่าหลายครั้งตกเป็นเหยื่อในหน้าสื่อ เมื่อปลายเดือนมิถุนายนที่ผ่านมาเกิดเหตุสลด ที่จังหวัดนครราชสีมา ที่ภาคประชาสังคมและสื่อมวลชนต้องออกไปช่วยเหลือกลายเป็นคดีสะเทือนขวัญ
.
พ่อแท้ ๆ อายุ 56 ปี ข่มขืนลูกสาวในไส้ อายุ 12 ปี ภายหลังจากที่สื่อได้รับร้องเรียนจากป้าของเด็กหญิงให้มาช่วยเหลือเร่งรัดคดี เนื่องจากผู้ก่อเหตุเป็นพ่อแท้ ๆ และเด็กหญิงก็เป็นเด็กพิเศษ (ออทิสติก) ถูกข่มขืนจนอวัยวะเพศฉีกขาด ซึ่งเหตุการณ์นั้นพนักงานสอบสวนได้นำตัวแม่และเด็กหญิงอายุ 12 ปี เข้ามาสอบปากคำ โดยมีเจ้าหน้าที่สห-วิชาชีพ และเจ้าหน้าที่จากสำนักงานพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ รวมทั้งเจ้าหน้าที่จากบ้านพักเด็กและครอบครัวนครราชสีมา ร่วมสอบปากคำด้วย ป้าของเด็กหญิง อายุ 44 ปี กล่าวว่า ก่อนหน้านั้นน้องก็เคยมาบอกว่าถูกพ่อแท้ ๆ ทำการข่มขืน แต่ญาติก็ยังไม่ปักใจเชื่อ เนื่องจากว่าน้องเป็นเด็กพิเศษออทิสติก
.
สะท้อนให้เห็นการกดขี่ในเชิงอำนาจของสังคมไทยที่มักจะมองคนพิการ โดยเฉพาะผู้ที่เป็นออทิสติกเป็นผู้ไร้ความสามารถและขาดความน่าเชื่อถือ เปิดช่องให้หลายครั้งกลายเป็นเหยื่อ เรื่องนี้สอดคล้องกับเวทีนำเสนอข้อมูลรายงาน “สถานการณ์ความรุนแรงต่อเด็กและผู้หญิงพิการ” ที่กระทรวงพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ และ สสส. ได้จับมือแถลงผลรายงานไปเมื่อปลายเดือนมิถุนายน
.
ในงานดังกล่าวคุณพัชรี อาระยะกุล ปลัดกระทรวงการพัฒนาสังคมฯ แถลงผลวิจัยว่า ในช่วงโควิด-19 ที่ผ่าน ทำให้คนในครอบครัวใช้เวลาอยู่ด้วยกันมากขึ้น และก่อให้เกิดคดีล่วงละเมิดเพิ่มขึ้นเช่นกัน ซึ่งการที่จะให้เด็กหรือผู้หญิงออกมากล้าฟ้องหรือแจ้งความเป็นเรื่องที่ทำได้ยาก เพราะความสัมพันธ์ในเชิงอำนาจ เช่น พ่อทำลูก แต่ลูกไม่กล้าบอก ตรงนี้เป็นจุดสำคัญที่จะต้องไปช่วยในกระบวนการรับรู้สิทธิ ปกป้องยืน และเคียงข้างในกระบวนการยุติธรรมจนกว่าจะสิ้นสุดกระบวนการ ที่สำคัญต้องทำให้ผู้ที่ถูกละเมิด “กล้า” และ “ไม่รู้สึกว่าสู้อยู่คนเดียว” ก่อนจะเข้าสู่การยอมแพ้ จนสิ้นสุดกระบวนการยุติธรรมในที่สุด
.
สอดคล้องกับข้อมูลทาง สสส. คุณภรณี ภู่ประเสริฐ ผู้อำนวยการสำนักสนับสนุนสุขภาวะประชากรกลุ่มเฉพาะ สสส. ที่ให้ข้อมูลว่า“ผลสำรวจสถานการณ์ความรุนแรงต่อเด็ก และผู้หญิงพิการ ปี 2564 พบการเข้าถึงกระบวนการยุติธรรมจากการถูกทำร้ายร่างกาย จิตใจ สุขภาพ และสังคม แค่ 29% และประเทศไทยมีสถิติความรุนแรงต่อผู้หญิงสูงเป็นอันดับต้น ๆ ของโลก โดยพบผู้หญิงถูกล่วงละเมิด ไม่น้อยกว่า 7 คน/วัน ขณะที่มีผู้หญิงที่เข้ารับการบำบัดรักษา แจ้งความร้องทุกข์ ประมาณปีละ 30,000 ราย”
.
ด้านเสาวลักษณ์ ทองก๊วย กรรมการว่าด้วยสิทธิคนพิการแห่งสหประชาชาติ ให้ข้อสรุปว่า “ในสังคมปัจจุบันจะมีเรื่องการละเมิดสิทธิอย่างต่อเนื่อง ซึ่งมีพูดถึงเรื่องการจับกุม สุดท้ายแล้วปลายทางของกระบวนการยุติธรรมพบว่าน้อยมากที่จะดำเนินการไปถึง” ซึ่งพบว่าผู้เสียหายเข้าไม่ถึงกระบวนการยุติธรรม ด้วยความไม่รู้เรื่องกฎหมายหรือบางครั้งถูกทำให้ยอมความ เพราะร้อยละ 90 พบว่าการละเมิดที่เกิดขึ้นเป็นคนในบ้าน และยิ่งบุคคลที่เป็นผู้พิการด้วยแล้วจะยิ่งถูกมองว่า “ไร้ตัวตน”
.
ซึ่งในวงแถลงดังกล่าวนั้นยังพูดถึงทางออกก่อนที่คนกลุ่มนี้จะถูกทำให้เป็น “เหยื่ออธรรม” ว่าจากการสำรวจพบว่าคดีหรือเรื่องที่เกิดขึ้นร้อยละ 20 เท่านั้นที่เข้าถึงกระบวนการยุติธรรม สะท้อนให้เห็นว่าญาติพี่น้องไม่ได้สนับสนุนให้เข้ากระบวนการยุติธรรม มีการชัดจูงโน้มน้าวไกล่เกลี่ยให้ยอมความเพื่อให้ยอมรับค่าทำขวัญแล้วจบเรื่องกันไป ทำให้เรื่องไม่ได้สิ้นสุดเนื่องด้วยกระบวนการยุติธรรม ซึ่งข้อเสนอแนะที่อยากส่งไปถึงภาครัฐในการแก้ปัญหาในเรื่องดังกล่าว เห็นว่าต้องปรับปรุงกฎหมายให้สอดคล้องกับกฎหมายสากลที่ครอบคลุมสิทธิในเรื่องของผู้พิการ ไม่ถูกเลือกปฏิบัติ
.
สุดท้ายครอบครัวไม่ใช่ที่ปลอดภัยสำหรับคนทุกคน ดังนั้น คนในครอบครัวจะต้องเป็นหูเป็นตาที่สำคัญ โดยเฉพาะหากเกิดความผิดปกติกับบุตรหลานพิการที่ไม่สามารถช่วยเหลือตัวเองได้ร้อยเปอร์เซ็นต์ และทางภาครัฐเองก็จะต้องปรับปรุงกฎหมายในเรื่องสิทธิคนพิการอย่างจริงจังด้วยเช่นกัน
.
#คดีข่มขืน #คนพิการ
เเหล่งที่มา https://www.facebook.com/curiouspeople.me