“ตีกันแบบนี้มีลูกหัวปีท้ายปี” ไม่ควรมีอีกต่อไป : ‘วราภรณ์ แช่มสนิท’ ผู้เสนอร่าง พ.ร.บ.คุ้มครองผู้ถูกกระทำด้วยความรุนแรง กฎหมายที่รักษาครอบครัวให้ปลอดภัยจากความรุนแรง

4,833 คือจำนวนของผู้ที่ตกเป็นเหยื่อในความรุนแรงในครอบครัว ตัวเลขนี้มาจากการเก็บสถิติโดยกรมกิจการสตรีและสถาบันครอบครัว เมื่อปี 2567

แต่ในขณะเดียวกัน ตัวเลขของคดีที่ฟ้องร้องโดยใช้กฎหมายพระราชบัญญัติคุ้มครองผู้ถูกกระทำด้วยความรุนแรงในครอบครัว พ.ศ.2550 ที่รายงานในปี 2565 มีเพียง 158 คดีเท่านั้น คำถามต่อมาคือ คนที่เหลือหายไปไหน?

“กฎหมายชื่อว่าคุ้มครองผู้ถูกกระทำฯ แต่เนื้อในเป็นการทำยังไงก็ได้ที่พยายามจะรักษาให้ครอบครัวอยู่ด้วยกัน มาตรา 15 บอกว่า ไม่ว่าคดีจะดำเนินไปถึงขั้นใด ให้ศาลพยายามไกล่เกลี่ยให้คู่ความได้ยอมความกันเพื่อรักษาสถานภาพแห่งการสมรส”

‘อ.วราภรณ์ แช่มสนิท’ ที่ปรึกษาแผนงานสุขภาวะผู้หญิงและความเป็นธรรมทางเพศ สมาคมเพศวิถีศึกษากล่าว หลายครั้งที่ปัญหาความรุนแรงไม่ถูกคลี่คลาย ผู้ถูกกระทำไม่ได้รับการช่วยเหลือเพราะคำว่า ‘ไกล่เกลี่ย’ ซึ่งสะท้อนให้เห็นว่าสังคมยังไม่มองเรื่องความรุนแรงในครอบครัวในระดับที่ ‘รุนแรง’ มากพอ

อ.วราภรณ์มองว่าที่ผ่านมากฎหมายพยายามรักษาสถาบันครอบครัวมากกว่าจะรักษาผู้ที่ถูกกระทำความรุนแรง เป็นเหตุให้พวกเขาไม่สามารถหลุดพ้นจากความรุนแรงได้ ส่วนผู้กระทำความรุนแรงก็ลอยนวลจนถึงขั้นกระทำผิดซ้ำได้อย่างหน้าตาเฉย

“เมื่อก่อนเราไม่ได้มีชื่อเรียกว่ามันเป็นความรุนแรงในครอบครัว พ่อตีลูกก็คือพ่อสั่งสอนลูก ผัวตีเมียก็ได้เพื่อสั่งสอน เราจะมีคำว่าเตะสั่งสอนซึ่งเป็นคำที่พูดปกติกันเลย”

“ลิ้นกับฟัน” “ตีกันแบบนี้มีลูกหัวปีท้ายปี” คำเหล่านี้บ่งบอกได้ว่าสังคมมองเรื่องความรุนแรงเป็นเรื่องล้อเล่น บางทีโดนตีมา แทนที่จะเจอคำถามว่า “เป็นยังไงบ้าง” กลับกลายเป็น “ไปทำอะไรเข้าถึงได้โดน” ที่ผ่านมาเราใช้คำว่า สั่งสอน ทั้งที่ในความจริงมันคือการตบ ตี เป็นการแสดงอำนาจของคนในครอบครัวว่าอยู่เหนือกว่าอีกฝ่ายเพราะฉะนั้นเขาจึงสามารถใช้ความรุนแรงเป็นเครื่องมือสั่งสอนอีกฝ่ายได้

การปลูกฝังค่านิยมเรื่องครอบครัวอย่าง “ไฟในอย่านำออก ไฟนอกอย่านำเข้า” ก็เป็นอีกหนึ่งวิธีคิดที่ทำให้เหยื่อที่ตกอยู่ในความรุนแรงในครอบครัวไม่สามารถเล่าหรือระบายเหตุการณ์ที่เจอให้ใครฟังได้ ซ้ำร้ายคนที่โดนกระทำความรุนแรงต้องมาคอยกังวลอีกว่า ถ้าเล่าไปแล้ว สังคมจะเห็นใจหรือซ้ำเติม

“วิธีตั้งคำถามของสังคมชี้ความผิดอยู่ที่ตัวผู้ถูกกระทำ โดยเฉพาะถ้าเป็นภรรยา เขาจะมองว่ามีข้อบกพร่องอะไรหรือเปล่าถึงได้โดน”

อ.วราภรณ์มองว่ากฎหมายที่เรากำลังใช้กันอยู่ไม่ได้มาจากการฟังเสียงของประชาชนหรือแม้กระทั่งผู้ที่ตกอยู่ในความรุนแรงมากพอ มันจึงยังขาดความครอบคลุมทั้งบทบัญญัติและวิธีการปฏิบัติ ฉะนั้นอาจารย์จึงเสนอร่างพระราชบัญญัติคุ้มครองผู้ถูกกระทำด้วยความรุนแรงในครอบครัว พ.ศ. …. เป็นอีกหนึ่งทางออกที่จะช่วยแก้ไขปัญหาความรุนแรงในครอบครัวให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น

ความรุนแรงไม่เคยเป็นเรื่องล้อเล่น

ร่างพระราชบัญญัติคุ้มครองผู้ถูกกระทำด้วยความรุนแรงในครอบครัว ฉบับประชาชน เสนอโดยอาจารย์วราภรณ์ ร่วมกับ 15 องค์กรในนาม “เครือข่ายต่อต้านความรุนแรงด้วยเหตุแห่งเพศประเทศไทย” และประชาชนทั่วไปอีก 23,989 คน โดยเสนอเพื่อให้ครอบคลุมและรัดกุมมากขึ้น อีกทั้งยังสร้างความเป็นธรรมให้กับผู้ถูกกระทำความรุนแรงมากขึ้นอีกด้วย โดยสาระสำคัญของร่างกฎหมายฉบับนี้มีทั้งหมด 8 ประเด็นดังนี้

1.ให้ความสำคัญกับการคุ้มครองสิทธิและสวัสดิภาพความปลอดภัย และเคารพการตัดสินใจของผู้ถูกกระทำเป็นสำคัญ ยึดหลักสากลที่ถือเอาผู้ถูกกระทำเป็นศูนย์กลาง เน้นคุ้มครองและอำนวยความยุติธรรมแก่ผู้ถูกกระทำแทนการมุ่งไกล่เกลี่ยให้ยอมความเพื่อรักษาสถาบันครอบครัว

2. ปรับนิยาม ‘ความรุนแรงในครอบครัว’ ให้สอดคล้องกับฐานความผิดในประมวลกฎหมายอาญา เพิ่ม ‘การกระทำผิดทางเพศ’ และถือว่า ‘การใช้อำนาจหรืออิทธิพลควบคุมบังคับโดยมิชอบ’ เป็นความรุนแรงขยายนิยาม ‘ความรุนแรงในครอบครัว’ ครอบคลุมและเป็นรูปธรรมมากขึ้น สอดคล้องและเอื้อต่อการบังคับใช้กฎหมายอาญา

3. ขยายนิยาม ‘บุคคลในครอบครัว’ ให้ครอบคลุมคนที่มีความสัมพันธ์ ‘ฉันคู่สมรส’ และ ‘คู่รัก’ ไม่ว่าจะต่างเพศ เพศเดียวกัน หรือคู่เพศหลากหลาย

4. กำหนดให้การกระทำความรุนแรงในครอบครัวใดที่เป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา ให้ดำเนินคดีและลงโทษตามกฎหมายอาญา

5. เมื่อได้รับแจ้งเหตุ เจ้าหน้าที่ต้องลงพื้นที่เพื่อตรวจสอบข้อเท็จจริงและช่วยเหลือผู้ถูกกระทำภายใน 24 ชั่วโมง

6. เพิ่มมาตรการคุ้มครองสวัสดิภาพกรณีเหตุฉุกเฉิน และขยายการคุ้มครองสวัสดิภาพผู้ถูกกระทำไปจนถึงหลังศาลมีคำพิพากษาแล้ว ทำให้มาตรการคุ้มครองสวัสดิภาพมีความรัดกุมมากขึ้น ลดความเสี่ยงที่จะเกิดความรุนแรงซ้ำ ทั้งในระหว่างและหลังสิ้นสุดกระบวนการทางกฎหมาย

7. ให้มีการแต่งตั้ง ‘ผู้จัดการรายกรณี’ และ ‘คณะทำงานสหวิชาชีพ’ เพื่อคุ้มครองและฟื้นฟูเยียวยาผู้ถูกกระทำแต่ละรายอย่างรอบด้านและมีประสิทธิภาพ

8. ให้อำนาจศาลลดโทษผู้กระทำผิด ในกรณีที่พิสูจน์ได้ว่าบุคคลนั้นมีภาวะ Battered-person Syndrome (ผู้ถูกกระทำรุนแรงอย่างต่อเนื่องและตอบโต้เพื่อปกป้องตัวเอง)

ขยายนิยาม ปรับการลงโทษ เพิ่มความรัดกุม คือหัวใจหลักของร่างพ.ร.บ.ฉบับนี้ อาจารย์มองว่ามิติของความรุนแรงมันมีความซับซ้อนกว่าที่เราเห็น ฉะนั้นจึงต้องมีกฎหมายที่ครอบคลุมความซับซ้อนเหล่านี้ รวมถึงปรับให้เข้ากับยุคสมัยในปัจจุบัน สามารถเข้าไปอ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ https://section09.thaihealth.or.th/2025/11/25/changedvlaw/

“ปัญหาความรุนแรงในครอบครัวมันไม่ได้มีแต่การทำร้ายทางร่างกาย มันรวมไปถึงการจำกัดเสรีภาพ การจำกัดการใช้ชีวิตของบุคคล สอดส่องว่าไปทำอะไรที่ไหน อย่างเช่นการติด GPS หรือว่าห้ามติดต่อคบหาเพื่อนฝูง ห้ามออกไปทำงาน นี่เราก็เคยเจอนะเคสแบบนี้”

ห้ามใส่กระโปรงสั้น ห้ามไว้ผมยาว ห้ามคบเพื่อนต่างเพศ และอีกสารพัดการห้ามที่หลายคนเข้าใจว่าอีกฝ่ายทำไปเพราะ ‘หวง’ บางคนอาจคิดว่าเพราะเขารักเขาถึงหวงแหนขนาดนี้ แต่ในความเป็นจริงนี่อาจเป็นขั้นแรกเริ่มที่นำไปสู่ความรุนแรงขั้นลงไม้ลงมือ เพราะเริ่มมีการวางอำนาจว่าฝ่ายหนึ่งสามารถควบคุมชีวิตอีกฝ่ายได้

นอกจากขยายขอบเขตของความรุนแรง ยังมีการขยายนิยามบุคคลในครอบครัว ไม่จำกัดเฉพาะคู่สามี-ภรรยาหรือคนที่แต่งงานกันแล้วเท่านั้น เพื่อให้สอดคล้องกับบริบทสังคมที่เป็นจริงในปัจจุบัน แต่รวมถึงความสัมพันธ์ฉันคู่สมรสในกลุ่มเพศหลากหลาย เพราะความรุนแรงเกิดขึ้นกับใครก็ได้ ไม่จำกัดเพศ

อีกช่องโหว่สำคัญที่ทำให้คดีความรุนแรงไม่คืบหน้าไปไหน คือการปฏิบัติการของเจ้าหน้าที่ อาจารย์พูดอย่างตรงไปตรงมาว่า เจ้าหน้าที่เกี่ยวข้องหลายคนไม่อยากทำคดีความรุนแรงในครอบครัวเนื่องจากมีความยุ่งยาก หลายๆ ครั้งเจ้าหน้าที่จึงพยายามไกล่เกลี่ยเพื่อให้ไม่ต้องเข้าสู่คดีความ

“กฎหมายคุ้มครองผู้ถูกกระทำความรุนแรงในครอบครัวมันต้องมีมาตรการในการคุ้มครองผู้ถูกกระทำเพิ่มเติมเข้ามา เพื่ออำนวยให้เขาได้รับความปลอดภัยและรับความยุติธรรม เช่น ต้องมีมาตรการในการบรรเทาทุกข์ชั่วคราว หรือว่าถ้าจะยอมความก็จะต้องมีการทำบันทึกข้อตกลง ผู้บังคับใช้กฎหมายเขาก็จะไม่คุ้นชินกับกระบวนการแบบนี้แล้วรู้สึกว่ามันยุ่งยาก”

หลายคนคงเคยได้ยินเหตุการณ์ที่มีคนไปแจ้งตำรวจ แล้วตำรวจตอบกลับมาว่า “ความรุนแรงยังไม่ได้เกิดซึ่งหน้า ตำรวจก็ทำอะไรไม่ได้” อ.วราภรณ์ชี้เพิ่มเติมว่าตามกฎหมาย ตำรวจสามารถทำอะไรสักอย่างได้ไม่ใช่ปล่อยไปเฉยๆ ตามกฎหมายอาญาในส่วนของมาตรการความปลอดภัย เจ้าหน้าที่สามารถดำเนินการได้ในกรณีที่มีเหตุที่ทำให้เชื่อได้ว่ากำลังจะมีความรุนแรงเกิดขึ้น

“ช่วงที่อันตรายที่สุด เสี่ยงที่สุด คือช่วงที่ผู้ถูกกระทำพยายามจะหนีออกจากปัญหานั้น เพราะผู้กระทำเขาก็จะรู้สึกโดนท้าทายอำนาจ พอไปแจ้งเหตุแล้วไม่มีอะไรเกิดขึ้น มันยิ่งคอนเฟิร์มว่าต่อให้เรียกตำรวจมาก็ช่วยไม่ได้ อันนี้เขาก็ยิ่งทำร้ายหนัก”

เพื่อขจัดความลักลั่นของกฎหมายเดิมร่างพ.ร.บ.ฉบับประชาชนจึงระบุว่า เมื่อได้รับแจ้งเหตุ เจ้าหน้าที่ต้องลงพื้นที่เพื่อตรวจสอบข้อเท็จจริงและช่วยเหลือผู้ถูกกระทำภายใน 24 ชั่วโมง อุดช่องว่างกรณีที่มีการแจ้งเหตุแล้ว แต่ผู้ถูกกระทำไม่ได้รับการช่วยเหลือทันท่วงทีและเสี่ยงที่จะถูกกระทำซ้ำ

“การมีกฎหมายแบบนี้ออกมาเอื้อให้เจ้าหน้าที่ทำงานแบบมีกรอบอำนาจหน้าที่ที่ชัดเจนขึ้น มันจะช่วยให้เจ้าหน้าที่ที่มีใจในการปฏิบัติงานเขามีหลังพิง มีเครื่องไม้เครื่องมือในการปฏิบัติงานได้ดีขึ้น”

ปัญหาหลังบ้านคือปัญหาสังคม

“เรื่องของผัวเมีย อย่ามายุ่ง” ประโยคยอดฮิต เมื่อเห็นคู่รักกำลังใช้ความรุนแรงต่อกัน ทั้งที่ในความเป็นจริงปัญหาหลังบ้านคือต้นตอของปัญหาในสังคมที่ทุกคนต้องมีส่วนรับผิดชอบร่วมกัน

“ถ้ามองในมิติของรัฐมันกระทบต่อการพัฒนาคุณภาพคน การพัฒนาคุณภาพของสังคม กรณีของเด็กที่ไม่ว่าจะถูกใช้ความรุนแรงโดยตรงหรือว่าเด็กที่อยู่ในสถานการณ์ที่พ่อแม่ใช้ความรุนแรงเนี่ย เขาก็ซึมซับไปผลกระทบมันถูกส่งต่อรุ่นสู่รุ่น ต่อไปมันก็อาจจะมีผลกระทบในหลายๆ ด้านกับเด็กที่เติบโตขึ้นกับความรุนแรง”

ลองคิดง่ายๆ ว่าบรรยากาศในครอบครัวแบบไหนที่ทำให้เด็กเติบโตได้ดีกว่าระหว่างบ้านที่พ่อแม่ตีกันทุกวันจนเด็กไม่สามารถอ่านหนังสือหรือทำการบ้านที่บ้านได้ กับบ้านที่ไม่มีความรุนแรง แน่นอนว่าเด็กก็สบายใจที่จะใช้ชีวิตอยู่ในบ้าน เรื่องแบบนี้ก็ส่งผลต่อการสร้างทรัพยากรมนุษย์เหมือนกัน

เพราะฉะนั้นความรุนแรงจึงต้องหยุดลงเร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้ อาจารย์วราภรณ์มองว่าจริงๆ แล้วที่เรามาแก้กฎหมายความรุนแรงกันตอนนี้ก็ถือว่า ‘ช้า’ มากแล้ว

“เมื่อปี 2550 สมัยนั้นก็มีองค์กรพัฒนาเอกชน (NGO) ที่ทำงานยุติความรุนแรงต่อผู้หญิง คัดค้าน พ.ร.บ. ในตอนนั้น มันไม่ควรจะถูกออกมาในรูปลักษณ์แบบนี้ตั้งแต่ปี 2550 การมาแก้ตอนนี้ 18 ปี ให้หลังมันก็ช้าเกินไปแล้ว เวลาที่ผ่านมาเป็นเครื่องพิสูจน์ให้แล้ว”

ทุกตัวเลขที่ปรากฏให้เห็น คือความเป็นจริงที่ผู้ถูกกระทำความรุนแรงต้องเผชิญ มีชีวิตของคนจริงๆ ที่ถูกทำร้ายอยู่ในตัวเลขเหล่านั้น เพื่อให้ตัวเลขลดลง เราต้องใช้เครื่องมืออย่างกฎหมายเข้าช่วย แต่ในขณะเดียวกันอ.วราภรณ์ก็มองว่า ไม่ใช่ว่าร่างพ.ร.บ.ฉบับประชาชนผ่านแล้วความรุนแรงจะหายไปทันที เพราะมันยังมีอีกหลายมิติและอุปสรรคอีกเยอะกว่าเราจะไปถึงจุดนั้น หนึ่งในนั้นคือเรื่องทัศนคติความรุนแรงที่อาจารย์หวังว่ากฎหมายจะเข้าไปช่วยแก้ตรงนี้ได้ไม่มากก็น้อย

“กฎหมายเป็นการส่งสารไปถึงสังคมว่าประเทศนี้ไม่ได้ยอมรับความรุนแรง ถ้ากระทำผิด คุณจะต้องได้รับผลของการกระทำ ต้องขึ้นศาล เขาต้องรับความผิด มันก็จะทำให้วิธีคิดแบบเดิมที่ว่า เรื่องผัวเมียอย่ายุ่งเบาบางลง”

อาจารย์ทิ้งท้ายว่า สังคมอาจจะต้องทำความเข้าใจกับเรื่องครอบครัวใหม่ จริงอยู่ว่าสถาบันครอบครัวคือสิ่งสำคัญที่ควรรักษาเพราะคือรากฐานของการเติบโต แต่ต้องยอมรับว่าไม่ใช่ทุกครอบครัวที่จะควรรักษาให้อยู่กันแบบเดิมไว้ โดยเฉพาะครอบครัวที่ปฏิบัติต่อกันด้วยความรุนแรง
รัฐและกฎหมายเข้ามาแทรกแซงเพื่อหยุดความรุนแรง

“กฎหมายควรต้องทำให้ครอบครัวเป็นพื้นที่ปลอดภัยสำหรับสมาชิกทุกคน ซึ่งความหมายของครอบครัวที่ดีมันควรจะเป็นแบบนั้น”

Shares:
QR Code :
QR Code