คนสูงวัยร้อยปีอยากบอกคนรุ่นหลังว่าอะไร?

“ตอนเราไปสัมภาษณ์ที่เชียงใหม่ มีนักท่องเที่ยวเข้ามาถามว่าเรากำลังทำอะไร พอบอกว่ากำลังถ่ายผู้สูงอายุร้อยปี เขาก็ขอผู้สูงอายุกอด ขอจับมือ ขอถ่ายรูป และถามว่าทำอย่างไรถึงอายุร้อยปี เขามองว่าคนร้อยปีคือปูชนียบุคคลที่น่ายกย่อง น่าเคารพ” อาจารย์แหวน – ผศ.ดร.ณัฏฐพัชร สโรบล อาจารย์ประจำภาควิชานโยบายสังคม การพัฒนาสังคมและการพัฒนาชุมชน คณะสังคมสงเคราะห์ศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ 1 ในคณะวิจัย กล่าว

 

เวลาพบเจอผู้สูงอายุที่มีอายุมากกว่าที่เราคาดไว้ มากกว่าความรู้สึกประหลาดใจ ตื่นเต้น คือต่อมสงสัยว่าทำไมพวกเขาถึงอายุยืน แต่ถ้าถามว่าตัวเองอยากอายุยืนยาวขนาดนั้นไหม เชื่อว่าคนในยุคนี้คงตอบเป็นเสียงเดียวกันว่าไม่ และถ้าเป็นไปได้ก็ไม่อยากแก่

 

‘รายงานวิจัยวิถีชีวิตและความสุขของผู้สูงอายุเกิน 100 ปี’ สนับสนุนโดย สำนักสนับสนุนสุขภาวะประชากรกลุ่มเฉพาะ (สำนัก9) สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) จึงไม่ได้เป็นวิจัยเพื่อเชิญชวนหรือไขเคล็ดลับการมีอายุยืนยาว เพราะแม้แต่คนที่คลุกคลีกับงานวิจัยอย่าง อาจารย์แหวน ยังยืนยันคำเดิมเหมือนกับตอนก่อนเริ่มทำงานวิจัยว่า “ไม่อยากแก่ แต่สุดท้ายถ้าต้องแก่ ต้องแก่ดี มีคุณภาพ”

 

แต่งานวิจัยชิ้นนี้มีขึ้นเพื่อเปิดมุมมองใหม่ต่อการดำเนินชีวิตในช่วงปลายวัยที่ยืนยาวให้มีคุณภาพ เตรียมความพร้อมที่จะพุ่งทะยานสู่ตัวเลขหลักร้อย ผ่านการฟังเรื่องราวของคนที่ร้อยปีมาก่อนเรา เพราะต่อให้เราไม่อยากแก่ แต่ไม่มีใครคาดเดาได้ว่าอายุขัยของตัวเองจะสิ้นสุดที่เลขไหน อย่างน้อยๆ จะได้ไม่ทุกข์เกินไป หากวันที่อายุของเรามี 3 หลักขึ้นมา

แค่ได้พบลูกหลานทุกวัน ก็มีความสุขแล้ว

อุ้ยแก้ว (คุณปู่/คุณตา) แก้ว ใจแก้ว เคยประกอบอาชีพเป็นช่างตัดผม ซึ่งการตัดผมทำให้อุ้ยแก้วมีความสุขจากการได้พบปะ พูดคุยกับคนมากหน้าหลายตา แต่พออายุ 80 ปี สายตาที่พร่ามัวทำให้อุ้ยแก้วต้องวางกรรไกร แต่อุ้ยแก้วในตอนนี้ยังมีความสุข เพราะการได้อยู่ใกล้ชิดกับลูกหลาน ตื่นมาเจอคนในครอบครัว ทำให้ทุกวันของอุ้ยแก้วเต็มไปด้วยความสุข

ซึ่งการอยู่อาศัยร่วมกับคนในครอบครัวอย่างมีสัมพันธไมตรีที่ดีแบบอุ้ยแก้ว เป็น 1 ในปัจจัยที่ทำให้กลุ่มตัวอย่างเชิงคุณภาพ 10 คนในงานวิจัยนี้มีความสุขและมีวิถีชีวิตที่ดี

การมีความสัมพันธ์ที่ดีกับคนในครอบครัวนั้น ไม่ได้หมายความว่า บุตรหลานจะต้องส่งเงินจำนวนมากให้กับผู้สูงอายุ หรือต้องประเคนหาสิ่งของราคาแพงให้ แต่เป็นการได้ใช้เวลาร่วมกันในแต่ละวัน

ทว่า กลุ่มตัวอย่าง 101 คนเป็นเพียงเศษเสี้ยวหนึ่งของผู้สูงอายุที่มีอายุเกิน 100 ปี ในประเทศไทย เพราะในปัจจุบัน ไทยมีคนอายุเกิน 100 ปีเป็นจำนวนกว่า 45,561 คน และหากลองสำรวจความคิดและสภาพสังคมในปัจจุบัน มีคนจำนวนไม่น้อยที่ครองตัวเป็นโสด ไม่แต่งงาน หรือต่อให้แต่งงาน ก็ไม่มีลูก

ปัจจัยที่จะทำให้คนมีวิถีชีวิตที่ดีและมีความสุขอย่าง ‘ครอบครัว’ จะลดลง และอาจจะทำให้ปัจจัยอื่นๆ อย่างเป็นผู้สูงอายุที่แข็งแรง มีอิสระในการดำเนินชีิวิต ช่วยเหลือตัวเองได้ กลายเป็นปัจจัยหลักๆ ที่จะทำให้ผู้สูงอายุร้อยปีในอนาคตมีความสุข

“ในปัจจุบันมีคนอายุเกินร้อยปีอยู่ไม่น้อยที่ไม่ได้มีคุณภาพชีวิตที่ดีนัก เพียงแต่งานวิจัยไม่ทำการศึกษาเปรียบเทียบ ดังนั้นเมื่อเราวิเคราะห์ไปถึงสังคมไทยในอนาคตโดยอ้างอิงจากผลการวิจัย เรื่องที่น่ากังวลที่สุด คือ ผู้สูงอายุจะอยู่ลำพังมากขึ้น เพราะปัจจัยเรื่องการอยู่อาศัยกับครอบครัวมีแนวโน้มลดลง คนในปัจจุบันใช้ชีวิตแบบปัจเจกมากขึ้น ดังนั้น ปัจจัยของการมีคุณภาพชีวิตที่ดีในอนาคตเปลี่ยนแน่นอน” อาจารย์แหวนอธิบาย

แต่สภาพร่างกาย และสภาพคล่องทางการเงินของแต่ละบุคคลไม่เท่ากัน หากในอนาคตอันไม่ใกล้ไม่ไกล เรากลายเป็นผู้สูงอายุร้อยปีที่มีเงินเก็บเยอะ สุขภาพแข็งแรง สามารถใช้แอปพลิเคชันธนาคารหรือแอปพลิเคชันเดลิเวอรี่ต่างๆ ได้คล่อง เราก็จะสามารถช่วยเหลือตัวเองได้เต็มที่และมีอิสระในการดำเนินชีวิต แต่ถ้าเรากลายเป็นผู้สูงอายุที่หูตาไม่ดี มองจอไม่ชัด แถมยังอาศัยอยู่ในพื้นที่ที่ไม่มีการดูแลสภาพทางเดินริมท้องถนน เราก็จะออกไปไหนไม่ได้ มีแต่ความทุกข์เพราะต้องรอความช่วยเหลือจากคนอื่น

คุณค่าของคนฉบับคน 6 แผ่นดิน

อีก 1 ปัจจัยที่ทำให้ผู้สูงอายุในงานวิจัยนี้มีความสุข คือ ‘การให้คุณค่าของคนจากการทำประโยชน์ให้กับสังคม’

จากกรณีศึกษา จำนวน10 คน พบว่า ผู้สูงอายุเป็นผู้มีคุณค่าทางสังคมในหลายมิติ ได้แก่

(1) การเป็นผู้นำทางจิตวิญญาณ เช่น เป็นพระสงฆ์ ถ่ายทอดธรรมะให้คนในชุมชน

(2) การเป็นผู้สืบสานประเพณีและวัฒนธรรม เช่น เป็นผู้สืบทอดวิถีไทยทรงดำ หรือ เป็นผู้ถ่ายทอดภาษามอญ ประเพณีมอญ เพื่อเป็นต้นแบบให้คนรุ่นใหม่ในชุมชนเห็นคุณค่าของศิลปวัฒนธรรมท้องถิ่น

(3) การเป็นต้นแบบในการดูแลสุขภาพ เช่น ยังคงเดินขึ้นลงบันไดได้ หรือ ปัดกวาดบ้านด้วยตัวเองได้ดี ทำอาหารเพื่อสุขภาพกินเองได้ไม่ต้องรอใครมาช่วย

(4) การเป็นผู้อนุรักษ์ภูมิปัญญาและประยุกต์ใช้องค์ความรู้ เช่น เป็นหมอยาพื้นบ้านให้คำปรึกษาเกี่ยวกับการปรุงยาสมุนไพรให้กับคนในหมู่บ้าน

การมีคุณค่าไม่ว่าะจากการถูกเคารพนับถือจากผู้อื่น หรือคุณค่าจากความภูมิใจที่ยังสามารถดูแลตัวเองได้ ล้วนส่งผลให้ผู้สูงอายุภูมิใจและพึงพอใจในตัวเอง และต่อให้ในปัจจุบัน คนจะมีความเป็นปัจเจกนิยมมากขึ้น ไม่ได้มีความสนิทสนมในชุมชนเท่าเมื่อก่อน แต่แนวคิดเรื่องคุณค่ายังคงเดิม คือ เป็นสิ่งที่ทำให้เรารู้สึกภูมิใจและมีความสุข เพียงแค่เปลี่ยนแปลงรูปแบบไปตามยุคสมัย

“สุดท้ายคนเราจะมีความสุขเมื่อเราพอใจและภูมิใจในตัวเอง วิธีคิดนี้นำไปสู่การสร้างคุณค่า ถ้าคนร้อยปีให้คุณค่ากับการเป็นครูสอนปรุงยา ให้คำสั่งสอนกับสังคม การให้คุณค่าของคนยุคนี้ก็สะท้อนได้จากการเป็นอินฟลูเอนเซอร์ ที่เน้นความเชี่ยวชาญ เป็นผู้ให้ความรู้ ดึงดูดให้คนมาสนใจในเรื่องราวต่างๆ ตามความถนัด มันเหมือนกัน เพราะเป็นสิ่งที่ทำแล้วรู้สึกว่าตัวเองภูมิใจ มีประโยชน์ต่อสังคม”

ความตาย คือ เรื่องธรรมดา

ไม่มีใครรู้ว่าวันสุดท้ายของชีวิตจะมาถึงเมื่อไหร่

การเตรียมตัวในช่วงสุดท้ายของชีวิต เป็นกระบวนการสำคัญที่ทำให้ผู้สูงอายุสามารถวางแผนและแสดงเจตนาในการดูแลตัวเองในวาระสุดท้ายได้อย่างชัดเจน ไม่ว่าจะเป็นการคุยกับครอบครัว แพทย์ หรือการทำพินัยกรรมชีวิต (Living Will) เพื่อให้การตายของตนเป็นการตายดี สงบ สบาย และสมศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์

ซึ่งผู้สูงอายุร้อยปีจากงานวิจัย ร้อยละ 58 ไม่รู้จักพินัยกรรมชีวิต (Living Will) และไม่สนใจที่จะทำ เพราะส่วนใหญ่เลือกที่จะคุยกับคนในครอบครัว อย่างกรณีของคุณตาจำปา คงศีล ที่ฝากฝังไว้กับลูกหลานว่า “ไม่ต้องจัดงานหลายวัน สามคืนก็เพียงพอแล้ว” คุณตาจำปาจึงไม่รู้สึกกังวลใจใดๆ กับการจากโลกนี้ไปหากวันนั้นมาถึง

การตายดีของผู้สูงอายุร้อยปีจากงานวิจัยส่วนมาก จึงเป็นการจากโลกนี้ไปโดยที่ได้พูดคุยสะสางทุกเรื่องกับคนสำคัญใกล้ตัว

คนร้อยปีมีวิถีการดำเนินชีวิตเกี่ยวกับวาระสุดท้ายในรูปแบบของการเจริญสติ อย่างยุคเรา เราก็จะมองเรื่องทุกข์ภาระ เช่น บ้าน รถ ทรัพย์สิน แต่คนร้อยปีเขาพร้อมจากไปทุกขณะจิต มีการพูดคุยกับครอบครัว และส่วนใหญ่พูดตรงกันว่า “ไม่มีอะไรคั่งค้างในใจแล้ว ไม่กังวล และไม่นึกเสียดาย บัดนี้ได้ใช้ชีวิตมาอย่างสมบูรณ์แล้ว” อาจารย์แหวนกล่าว

บั้นปลายสุขใจได้ ถ้ามี ‘ตัวช่วย’

เวลาเราเห็นผู้สูงอายุเดินข้ามถนน หรือแม้กระทั่งเห็นคุณตาคุณยายลุกขึ้นเดินภายในตัวบ้าน สิ่งที่เกิดขึ้น คือ ความรู้สึกเป็นห่วง กลัวว่าจะลื่นหรือสะดุดล้ม เพราะการบาดเจ็บของผู้สูงอายุจากการหกล้มนั้นอันตรายกว่าการหกล้มในวัยหนุ่มสาว เราจึงอยากยื่นมือไปช่วย หรือไม่ก็อยากให้พวกเขามีไม้เท้า หรืออุปกรณ์ที่ช่วยในการเคลื่อนไหว เพื่อให้ปลอดภัยมากขึ้น

ซึ่งอุปกรณ์เหล่านี้นับว่าเป็นสิ่งทดแทน (Compensation) ที่ทำให้ผู้สูงอายุสามารถใช้ชีวิตได้อย่างอิสระ และสามารถช่วยเหลือตัวเองได้

คุณปู่มน ภู่จีน นัก DIY เป็นผู้สูงอายุที่รักในการเดินตลาดคลองถมจนลูกหลานเอ่ยปากแซวว่า “ปู่รักคลองถมมาก ต้องไปตรวจตรากิจการ” แต่ด้วยสุขภาพ คุณปู่เดินทางไปตลาดคลองถมลำบากมากขึ้น และไม่สามารถเดินได้เป็นเวลานานหากไม่มีตัวช่วย คุณปู่มนจึงมีรถเข็นวีลแชร์เป็นเครื่องมือทดแทนไว้ใช้เวลาอยากเดินดูของนานๆ

แต่ไม่ใช่ทุกสังคมที่มีการทดแทนให้เป็นสวัสดิการ ทำให้ผู้สูงอายุจำนวนไม่น้อยต้องหาบริการมาทดแทนด้วยตัวเอง และหากของที่มาทดแทนเหล่านั้นมีราคาสูง ไม่สอดคล้องกับกำลังจ่ายของผู้สูงอายุ สุดท้ายพวกเขาก็จะไม่สามารถทำอะไรได้อย่างอิสระ หากมีใจรักในการเดินคลองถมแบบคุณปู่มน แต่ไม่มีวีลแชร์เป็นของตัวเอง ก็ทำอะไรไม่ได้นอกจากรีบไปรีบกลับ หรือไม่ก็นั่งอยู่บ้านเฉยๆ

“สังคมที่คนไม่กลัวที่จะแก่ ต้องเป็นสังคมที่มีการชดเชยและเสริมพลังให้กับผู้สูงอายุ (Compensate to Empowerment) เพราะการแก่คือการสูญเสีย (Loss) บางอย่างไปแล้วไม่เหมือนเดิม สังคมจึงต้องสร้างอะไรบางอย่างมาทดแทน ต้องมีการออกแบบสภาพแวดล้อม มีการใช้เทคโนโลยีที่ส่งเสริมให้เรามีชีวิตที่ดี และมีคุณภาพ (Functional Compensation)”

คนต่อไปที่จะอายุร้อยปีอาจเป็น ‘คุณ’

ประเทศไทยก้าวเข้าสู่การเป็นสังคมสูงอายุระดับสมบูรณ์ฺ (Aged Society) สังคมที่มีสัดส่วนของประชากรที่มีอายุ 60 ปีขึ้นไปเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วอย่างเต็มรูปแบบเมื่อปี 2567 โดยอ้างอิงจากข้อมูลจากกรมการปกครอง กระทรวงมหาดไทย ปี 2566 ว่า ประเทศไทยมีจำนวนผู้สูงอายุคิดเป็น 1 ใน 5 ของประชากรไทยทั้งประเทศ

แต่ในช่วงหลายทศวรรษที่ผ่านมา สังคมทั่วโลกได้เผชิญกับขั้นกว่า นั่นก็คือ ‘สังคมอายุยืน (Longevity Society)’

สังคมอายุยืนเป็นปรากฏการณ์ที่ประชากรมีแนวโน้มอายุยืนมากขึ้น เนื่องจากปัจจัยด้านเศรษฐกิจ ความก้าวหน้าทางการแพทย์ และการดูแลสุขภาพที่ดีขึ้น ทำให้สัดส่วนของผู้สูงอายุมากขึ้น แต่ในทางกลับกัน สังคมอายุยืนส่งผลกระทบต่อสภาพเศรษฐกิจและสังคมเช่นกัน เพราะการที่มีจำนวนผู้สูงอายุมากขึ้น และมากกว่าวัยแรงงาน ทำให้ต้องมีการปรับปรุงโครงสร้างการจ้างงานต่างๆ เช่น ต้องมีการจ้างงานที่ยืดหยุ่น รองรับตลาดแรงงานที่เปลี่ยนไป

และในเมื่อคนมีแนวโน้มอายุยืนขึ้น ไม่ว่าใครจึงมีโอกาสที่จะมีอายุถึง 100 ปีทั้งนั้น และยิ่งใครที่คนในครอบครัวอายุยืน ก็มีโอกาสที่จะได้รับการถ่ายทอดทางพันธุกรรม ซึ่งสำหรับอาจารย์แหวนที่คลุกคลีกับงานวิจัยชิ้นนี้ แม้ว่ายังคงไม่อยากแก่ แต่ก็เปลี่ยนวิถีชีวิตของตัวเอง เริ่มทบทวนว่า คนร้อยปีเขาทำอะไรกันบ้าง อาจารย์แหวนในตอนนี้จึงเลือกที่จะไม่ขึ้นลิฟต์ เดินขึ้นบันไดแทน เพื่อขยับร่างกาย เหมือนคนร้อยปีที่ยังกระฉับกระเฉง และจากเดิมที่กินข้าวเร็ว ก็ปรับวิธีกินของตัวเองให้ช้าลง พร้อมทั้งเลือกกินในสิ่งที่มีประโยชน์ต่อร่างกาย

“เราไม่ได้อยากร้อยปี แต่เราเลือกไม่ได้ ไม่รู้โชคดีหรือโชคร้ายเกิดบังเอิญอายุยืนขึ้นมา ถ้ายังใช้ชีวิตแบบเดิม ภาพมันก็ชัดเลยว่า เราต้องไม่ได้เป็นคนร้อยปีแบบในงานวิจัยแน่ๆ คือ ไม่แข็งแรง ไม่มีอิสระ และไม่มีคุณภาพ” อาจารย์แหวนกล่าว

อ้างอิง

รายงานวิจัยวิถีชีวิตและความสุขของผู้สูงอายุเกิน 100 ปี

Shares:
QR Code :
QR Code