‘แบบฝึกหัด’ เตรียมความพร้อมทางใจให้คนพิการก่อนเข้าทำงาน : สกิลต้องพร้อม ใจก็ต้องดูแล ‘รศ.ดร.อาดัม นีละไพจิตร’ อาจารย์ด้านการพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการ

“คนพิการมักจะรู้สึกว่าตัวเองแตกต่างจากคนอื่นเป็นพื้นฐานอยู่แล้ว”

‘รศ.ดร.อาดัม นีละไพจิตร’ อาจารย์ประจำสถาบันราชสุดา คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล กล่าว ชีวิตการทำงานคือด่านที่ยากสำหรับใครหลายคน แต่สำหรับคนพิการที่รู้ว่าตัวเองแตกต่างกว่าคนอื่นอยู่ตลอด มันทำให้ด่านนี้ของพวกเขายากยิ่งกว่าเดิม

ในปัจจุบันหน่วยงานที่รับคนพิการเข้าทำงานจะทำการปรับสถานที่หรือรูปแบบการทำงานให้เข้ากับคนพิการมากขึ้น เช่น ปรับสถานที่ให้ตรงกับหลักการออกแบบเพื่อทุกคน (Universal Design) ส่วนในฝั่งของคนพิการเองก็มีการอบรมด้านทักษะอาชีพ อัปสกิลให้ตรงกับงาน เพื่อที่ว่าทั้งฝั่งผู้จ้างและผู้ถูกจ้างจะได้มาทำงานร่วมกันได้อย่างเต็มศักยภาพ

กายพร้อม สกิลพร้อม แต่ถ้า ‘ใจ’ ยังไม่พร้อม ก็ส่งผลให้คนพิการไม่สามารถทำงานได้นาน

อาจารย์อาดัมเล่าว่า ถ้าหากในกลุ่มความพิการที่ 4-7 ได้แก่ ความพิการทางจิตใจหรือพฤติกรรม ความพิการทางสติปัญญา ความพิการทางการเรียนรู้ และความพิการทางออทิสติก กลุ่มนี้จะมีความพิการที่ส่งผลต่อด้านจิตใจหรือสุขภาพจิตเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว ซึ่งบางรายอาจต้องเข้าพบแพทย์เป็นประจำ หรือทานยาเป็นประจำ

ส่วนกลุ่มความพิการตั้งแต่ 1 ถึง 3 ได้แก่ ความพิการทางการเห็น ความพิการทางการได้ยินหรือสื่อความหมาย และความพิการทางการเคลื่อนไหวหรือทางร่างกาย เป็นกลุ่มความพิการที่สามารถสังเกตเห็นได้ พวกเขามักจะได้รับการสอนทักษะการทำงาน แต่ทักษะการเตรียม ‘ใจ’ ไปทำงาน มีน้อยมาก

สำหรับคนทั่วไป การทำงานครั้งแรกมักยากเสมอ คนพิการก็เช่นกัน ‘เบน’ ศศิมา ไพบูลย์ เจ้าหน้าที่ประสานงานหลักโครงการสนับสนุนการจ้างงานคนพิการกรุงเทพฯ มูลนิธินวัตกรรมทางสังคม ซึ่งได้รับการสนับสนุนจากสำนักสนับสนุนสุขภาวะประชากรกลุ่มเฉพาะ (สำนัก 9) เล่าว่าคนพิการกลุ่ม 1-3 มักจะเจอกับอุปสรรคบางอย่างที่ต่อให้เตรียมตัวมาแล้ว ก็ยังเจออยู่

“คนพิการเขามีสกิลที่โดดเด่น เขาก็จะมั่นใจในจุดแข็งส่วนนั้นแล้วไปในลู่ของเขาได้ แต่บางคนก็จะมีกำแพงบางอย่าง เพราะความกังวลมันก็มาจากสิ่งที่เขาไม่สามารถมองเห็นหรือเข้าถึงได้ เช่น คนตาบอดมองไม่เห็นสีหน้าคนข้างๆ ว่าทำสีหน้าแบบไหนใส่เขา ต่อให้เขาพูดเสียงหวาน แต่ก็ไม่รู้ว่าผู้พูดหน้าตาพึงพอใจจริงไหม อะไรแบบนี้ก็เป็นความกังวลแบบหนึ่ง”

เบนยกตัวอย่าง นอกจากนี้ยังมีกรณีของคนพิการทางการได้ยินที่มักจะเจอกับการสื่อสารที่ไม่ตรงกัน เช่นเดียวกับกลุ่มคนพิการทางการเคลื่อนไหวที่บางครั้งต่อให้มีการเตรียมสถานที่ไว้เรียบร้อยแล้ว แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าพวกเขาอาจจะต้องใช้เวลานานกว่าคนทั่วไป เช่น พักเที่ยงนานนิดหน่อยเนื่องจากเดินทางลำบาก หรือพิมพ์ได้แต่ช้ากว่าคนทั่วไป

ปัญหาที่ดูเหมือนเล็กน้อย แต่ถ้าเจอบ่อยๆ สะสมไปทุกวัน ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่ามันทำให้คนพิการรู้สึกกังวล วิตก รวมไปถึงไม่มั่นใจในตัวเอง

“สิ่งเหล่านี้ทำให้สุขภาพจิตแย่มากยิ่งขึ้น เพราะเขาอาจจะรู้สึกหงุดหงิด จากเดิมที่เขาพยายามที่จะมีเครื่องไม้เครื่องมือติดตัวแล้ว เคยฝึก เคยเตรียมมาแล้ว แต่มาเจอในสถานการณ์จริงที่จะต้องปรับตัวอยู่ตลอดเวลา โดยที่ฝั่งสถานประกอบการไม่มีการปรับตัว มันเลยทำให้เขารู้สึกว่าต้องเผชิญกับสภาวะแบบนี้ไปตลอด”

อาจารย์อาดัมเสริม สำหรับกลุ่มความพิการ 4 ถึง 7 ที่มีความพิการเกี่ยวข้องกับสุขภาพจิต ก็เจอกับอุปสรรคในการทำงานที่ต่างกัน อาจารย์อาดัมระบุว่ากลุ่มนี้เป็นกลุ่มที่บริษัทส่วนใหญ่ไม่รับเข้าทำงาน

“ถ้าในประเทศไทย องค์กรส่วนใหญ่จะกังวลต่อการรับคนที่มีความพิการทางจิตเข้าทำงาน ที่ผ่านมาสังคมมีภาพของคนพิการทางจิตใจ ออทิสติก และทางสติปัญญาในเชิงลบ เลยทำให้กลุ่มประเภทนี้ไม่ค่อยได้รับการจ้างงาน”

เมื่อเป็นแบบนี้คนพิการที่มีความเกี่ยวข้องกับสุขภาพจิตบางรายจึงไม่บอกความพิการของตัวเองให้บริษัทรู้ เพราะกลัวว่าจะไม่ได้รับเข้าทำงาน

สำหรับคนพิการนั้นการหางานไม่ได้ง่าย เพราะไม่ใช่ทุกบริษัทจะจ้างงานคนพิการและมองว่าการส่งเงินเข้ากองทุนมาตรา 34 เป็นการช่วยเหลือที่ง่ายมากกว่าการว่าจ้าง เพราะฉะนั้นคนพิการที่อยากมีงานทำจึงต้องฝึกฝนและเสริมทักษะตัวเองอยู่ตลอด แต่ในขณะเดียวกัน แม้มีงานทำแล้วก็ไม่ใช่ว่าการพัฒนาตัวเองจะจบลงเสมอไป เพราะพวกเขายังต้องเผชิญกับอุปสรรคทางใจจากการทำงานต่อเนื่อง

การเจอกันตรงกลางระหว่างหน่วยงานและคนพิการ

เบนมีความพิการด้านจิตใจและพฤติกรรมซึ่งจัดอยู่ในความพิการประเภทที่ 4 เธอเล่าว่าโรคที่เป็นอยู่คือ ‘ไบโพลาร์’ หรือโรคอารมณ์สองขั้วที่เกิดจากความผิดปกติของสารเคมีในสมอง ส่งผลให้เบนต้องทานยาเป็นประจำ เพื่อให้สมองมีความเสถียรมากขึ้น

เบนเล่าว่าช่วงที่เปลี่ยนการใช้ยาแรกๆ อาการของเธอคือไม่สามารถโฟกัสกับงานได้เต็มที่ รู้สึกเปราะบางกับสภาพแวดล้อม ทำให้งานล่าช้า และเมื่องานล่าช้า บางทีงานของเบนก็ไปกระทบกับคนอื่น รวมไปถึงถ้าไม่ได้กินยาก็ไม่สามารถพักผ่อนได้เพียงพอ

แต่ในขณะเดียวกันการกินก็ไม่ใช่การแก้ปัญหาของความวิตกกังวลทั้งหมด เบนเล่าว่าเธอยังมีความเครียด ความกังวล ในการทำงานบางครั้ง ซึ่งก็ต้องอาศัยความยืดหยุ่นจากองค์กรพอสมควรที่จะทำงานต่อได้

เป็นเวลา 6 ปีแล้วที่เบนมีบัตรคนพิการ ในมุมของเบน เธอบอกว่าบัตรพิการช่วยให้เธอมีงานที่เหมาะกับตัวเองยิ่งขึ้น เพราะเธอได้เข้ามาทำงานในมูลนิธินวัตกรรม ซึ่งเป็นมูลนิธิที่ดูแลและปกป้องสิทธิสำหรับคนพิการโดยเฉพาะ ซึ่งการทำงานที่นี่ดีตรงที่มีคนพิการเหมือนกัน และที่สำคัญคือองค์กรพร้อมจะปรับตัวให้การทำงานสะดวกยิ่งขึ้น

“องค์กรที่เบนจะอยู่อาจจะต้องมีความยืดหยุ่น ความเข้าใจในคนพิการลักษณะนี้ แน่นอนว่าไม่ใช่ทุกองค์กรที่พร้อมจะมายืดหยุ่นสำหรับคนพิการทางจิตแบบนี้ เช่น วันนี้เครียด วันนี้ขอทำงานที่บ้าน หรือขอลาไปพบจิตแพทย์”

ความพิการที่เกี่ยวกับสุขภาพจิตไม่ได้มีอาการเหมือนกันทุกโรคและทุกคน เพราะฉะนั้นคนพิการที่เข้าทำงานเองก็ต้องสื่อสารกับหน่วยงานให้เข้าใจตรงกันว่าตัวเองมีอาการแบบไหน และต้องใช้ความเข้าใจแบบไหน ในขณะเดียวกันองค์กรที่รับเข้าทำงานก็ควรจะทำความเข้าใจเพื่อให้ทำงานได้ด้วยกันทั้งคู่

อาจารย์อาดัมเสริมว่าในปัจจุบันไม่ค่อยมีองค์กรไหนเตรียมความพร้อมทางใจให้กับคนพิการก่อนเข้าทำงานสักเท่าไหร่ ทั้งๆ ที่เป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้คนพิการสามารถครองงานได้นานขึ้น

แบบฝึกหัดทางใจสำหรับคนพิการก่อนเข้าทำงาน

เพราะสุขภาพใจก็เป็นเรื่องสำคัญ อาจารย์อาดัมจึงแนะนำ ‘แบบฝึกหัด’ ในการเตรียมจิตใจก่อนเข้าทำงาน เพื่อให้คนพิการทำงานได้อย่างสบายใจมากขึ้น

เครื่องมือแรก คือ การทำความเข้าใจบุคลิกภาพของตัวเอง เข้าใจและยอมรับความพิการของตัวเองว่ามีจุดเด่นอะไรและมีข้อจำกัดแบบไหน รวมไปถึงดูวิถีชีวิต ความชอบของเราว่าเข้ากับงานที่กำลังจะทำไหม

“หลายคนมองงานแค่เป็นเครื่องมือหารายได้อย่างเดียว ไม่ได้ดูองค์ประกอบอื่นๆ ปรากฏว่างานนั้นทำให้สุขภาพจิตแย่เพราะอาจจะไม่ได้ชอบตั้งแต่แรก”

จริงๆ เครื่องมือนี้ใช้ได้ทั้งคนพิการและคนไม่พิการ เครื่องมือที่สองอาจารย์อาดัมเรียกว่า ‘แบบประเมินความเชื่อที่มีต่อการดำรงชีวิต’ ซึ่งอาจารย์บอกว่าเป็นแบบประเมินที่อาจารย์เอาไว้ใช้ในกรณีที่คนคนนั้นรู้สึกว่าการทำงานเริ่มส่งผลต่อสุขภาพจิต หรือเริ่มทำให้ตัวเองรู้สึกแย่ การประเมินนี้จะช่วยทำให้รู้ว่าตัวเองควรจะจัดการยังไงกับงานที่ทำต่อ

อาจารย์เน้นย้ำว่าสิ่งสำคัญที่ควรทำอย่างแรกคือ ‘ปรับตัวกับความพิการ’ บางคนที่พิการในภายหลังยังไม่ยอมรับตัวเองแบบสมบูรณ์

“ถ้าเขายังไม่เข้าใจในการปรับตัวต่อความพิการที่เกิดขึ้น ก็จะกระทบต่อความคิด ความรู้สึก ความเชื่อของเขา ซึ่งมันทำให้เกิดความทุกข์หรือไม่สามารถทำบางสิ่งบางอย่างในปัจจุบันได้ เพราะความคิดความเชื่อของเขายังรบกวนการดำเนินชีวิตของเขาอยู่”

นอกจากจะเป็นหน้าที่ของคนพิการที่ปรับตัวก่อนทำงาน องค์กรต่างๆ ที่รับคนพิการเข้าทำงาน ก็ควรจะปรับรูปแบบหรือหาวิธีการสื่อสารที่เหมาะสมเช่นกัน

การมี ‘ที่ปรึกษา’ ในที่ทำงาน จะช่วยให้คนพิการรู้สึกว่าตัวเองไม่โดดเดี่ยวจนเกินไป ทำให้เขารู้สึกว่าอย่างน้อยก็มีบางคนที่พร้อมจะรับฟัง หรือช่วยแก้ไขปัญหาไปด้วยกัน

“ในยุโรป หลายบริษัทก็จะมีการจ้างคนนอกมาช่วย เป็นคนที่จบมาทางด้านจิตวิทยาให้คำปรึกษา อาจจะคุยนอกเวลาทางโทรศัพท์ หรือในเวลางาน หรือคุยที่ทำงานเลยก็ได้ ขึ้นอยู่กับการให้ความสำคัญของบริษัทแต่ละแห่งว่าเป็นยังไง”

เบนเสริมอาจารย์อาดัมอีกว่าสำหรับเธอเองก็เคยมีประสบการณ์รู้สึกกังวลหรือระแวงตอนทำงานเหมือนกัน ซึ่งเธอมองว่าการมีใครสักคนที่ช่วยรับฟังมันช่วยได้เยอะ

การมีงานไม่ใช่ปลายทาง แต่คือจุดเริ่มต้น

อาจารย์อดัมเปิดเผยกับเราว่าตัวเองทำงานด้านการฟื้นฟูสมรรถภาพคนพิการมานานหลายปี เป้าหมายหลักคือการสร้างสุขภาพใจที่ดีให้กับคนพิการ ที่ผ่านมาหลายคนอาจเข้าใจว่า เมื่อส่งคนพิการให้มีงานทำได้แล้ว ก็ถือว่าจบ แต่จริงๆ แล้วอาจารย์อาดัมบอกว่า มันเป็นเพียงแค่ขั้นแรกของการส่งเสริมให้คนพิการพึ่งพาตัวเองได้ต่างหาก

“การทำให้คนพิการมีงานทำและมีรายได้มันเป็นขั้นตอนสุดท้ายของกระบวนการฟื้นฟู และมันเป็นปัจจัยสำคัญที่จะนำไปสู่การทำให้คนพิการคนนั้นดำรงชีวิตได้อย่างเป็นอิสระ”

สำหรับคนพิการ การมีงานทำมีผลในเชิงเศรษฐกิจที่ทำให้เขามีรายได้ ในขณะเดียวกันก็ส่งผลต่อจิตใจด้วย เพราะเมื่อมีงานพวกเขาก็จะรู้ว่าตัวเองมีศักยภาพ พึ่งพาตัวเองได้ และเห็นคุณค่าในตัวเอง

หน้าที่ต่อไปของอาจารย์อาดัมจึงพยายามประคับประคองให้คนพิการยังครองงานอยู่อย่างมั่นคง โดยอาจารย์เองก็มีการติดตามคนพิการที่มีงานทำอยู่เรื่อยๆ ซึ่งจะส่งผลดีตรงที่เมื่อคนพิการมีงานทำอย่างยั่งยืน พวกเขาก็สามารถเข้าสังคมได้ และไม่รู้สึกว่าตัวเองโดนกีดกันอีกต่อไป

“ถ้าองค์กรเข้าใจความพิการ เขาเริ่มเห็นความสำคัญ ใส่ใจต่อคำพูด ใส่ใจต่อการกระทำระหว่างกันมากยิ่งขึ้น ก็จะนำไปสู่การอยู่ร่วมกันได้ดีมากยิ่งขึ้น” อาจารย์ทิ้งท้าย

Shares:
QR Code :
QR Code