“ก็แล้วแต่แม่ว่าอยู่กับใครแล้วมีความสุข” คุยกับลูกชายและแม่หญิงรักหญิง เพราะความสุขของแม่ก็คือความสุขของครอบครัว
“แม่เราเขาก็สอนได้ทุกอย่างเลยนะ เหมือนมีหลายเพศ (หัวเราะ)”
ตั้งแต่จำความได้ ‘เต๋า’ ก็อยู่กับแม่มาตลอด ทุกอย่างที่เขาเรียนรู้จึงมาจากแม่ทั้งนั้น ตั้งแต่ความสนใจด้านศิลปะ การเต้น การร้อยลูกปัด ก็ได้มาจากแม่ แต่ในขณะเดียวกันเรื่องผู้ชายๆ อย่างกีฬาฟุตบอล ตะกร้อ แม่ก็สอนได้
‘มุ้ย’ แม่ของเต๋าเป็นนักจิตบำบัดให้กับนักกิจกรรมที่ขับเคลื่อนประเด็นสังคม นอกจากนี้เธอยังทำงานในองค์กรที่เกี่ยวกับการเรียกร้องสิทธิให้กลุ่มคนที่มีความหลากหลายทางเพศมาเป็นเวลายาวนาน เต๋าเล่าว่าเขาเองก็ไปเข้าร่วมกิจกรรมกับกลุ่ม LGBTIQNA+ ค่อนข้างบ่อยเพราะแม่พาไป
นอกจากจะทำให้รู้จักคนมากขึ้น เต๋าบอกว่าการเข้าร่วมกิจกรรมแบบนี้ทำให้เต๋าเห็นความสำคัญของ ‘ความเห็นอกเห็นใจ’ เพราะกลุ่มคนที่มีความหลากหลายทางเพศมักโดนอคติ การตีตราจากสังคม การขับเคลื่อนส่วนใหญ่จึงพยายามลดอคติและขจัดการเลือกปฏิบัติ ซึ่งเต๋าเองก็ซึมซับมาจากการเข้าร่วมกิจกรรมกับแม่
ความเข้าใจนี้ถูกปรับมาใช้ในชีวิตจริง ท่ามกลางสังคมที่ยังมีอคติต่อ LGBTIQNA+ เต๋าบอกว่ารู้สึกเฉยๆ ที่แม่มีแฟนเป็นผู้หญิง ในมุมมองของเต๋ามันไม่ใช่เรื่องพิเศษที่ทุกคนต้องมองว่าเต๋าแปลกกว่าคนอื่น นี่คือเรื่องธรรมดาเรื่องหนึ่ง
“เราไม่ค่อยซีเรียสเรื่องแม่จะคบใคร ไม่ค่อยได้ถามเลย อย่างน้อยบอกให้เรารู้ เราจะได้ทำตัวถูก”
เต๋าเล่าว่าแม่มีแฟนเป็นผู้หญิงมาเรื่อยๆ ซึ่งตนก็ไม่ได้มีปัญหาอะไร ดีซะอีกว่าเต๋าก็จะมีเพื่อนเพิ่มขึ้น แถมได้เข้าใจผู้หญิงมากขึ้นนอกเหนือจากแม่ เนื่องจากเต๋าเองก็มักจะมีเพื่อนผู้ชาย ซึ่งคนรอบตัวของเต๋าเองก็รู้ว่าแม่มีแฟนเป็นผู้หญิงแต่ก็ไม่ได้ตั้งคำถามอะไร
จริงๆ ถ้าตั้งคำถามอย่างให้เกียรติกันก็ไม่มีปัญหาอะไร แต่การดูถูกและเหยียดกันก็ไม่ใช่เรื่องที่ถูกต้อง มุ้ยเล่าว่า ตอนมัธยมที่ครูและเต๋ามีปากเสียงกัน พอครูเห็นว่ามุ้ยมาโรงเรียนพร้อมกับแฟนที่เป็นผู้หญิง ครูมีปฏิกิริยาที่ไม่ดีและพูดจาแย่ๆ ใส่
“เต๋ามีเรื่องที่โรงเรียน ครูก็เรียกผู้ปกครองไปคุย พอเขาเห็นเรากับแฟนที่เป็นผู้หญิง ครูกลับบอกว่า ‘ไม่แปลกหรอกที่ทำไมลูกถึงก้าวร้าว ขนาดคนเป็นแม่ยังไม่รู้เลยว่าตัวเองเป็นเพศไหน’”
กลายเป็นว่าคนที่มีปัญหากับเพศของมุ้ยไม่ใช่คนในครอบครัว แต่กลับเป็นคนนอก เมื่อมุ้ยเห็นว่าครูมีทัศนคติที่เหยียดเพศ จึงตัดสินใจพาเต๋าลาออกจากโรงเรียน เพราะเธอกังวลว่าลูกจะได้รับความคิดที่ไม่ดีไปด้วย
สำหรับความสัมพันธ์ของแม่ เต๋าบอกว่าไม่ได้มองเรื่องเพศเป็นหลัก มองที่นิสัยกับจิตใจกันมากกว่า และมุ้ยเองก็เคยถามเต๋าว่าอยากให้แม่มีแฟนเป็นผู้หญิงหรือผู้ชาย
“เรา (มุ้ย) ถามเต๋าแบบนี้ แล้วเขาตอบว่า ก็แล้วแต่แม่ว่าแม่อยู่กับใครแล้วมีความสุข ไม่ว่าจะเป็นผู้หญิงหรือผู้ชายก็ต่างมีคนที่ไม่ดีอยู่ทั้งนั้น”
เพราะที่สำคัญที่สุดไม่ใช่เรื่องที่ว่า แม่มีแฟนเป็นเพศไหน แต่สำคัญที่ว่าคนที่มีเลือกทำให้แม่มีความสุขได้หรือไม่ เต๋าจึงไม่ได้มองว่าเรื่องเพศเป็นเรื่องหลักของความรัก
ครอบครัวคือความลื่นไหล จะมีกี่คนก็ได้ จะมีแบบไหนก็ได้เช่นกัน
“เราสอนให้ลูกเข้มแข็งแต่ไม่ก้าวร้าว สู้คนได้แต่ต้องไม่ใช้ความรุนแรง”
เราถามมุ้ยด้วยคำถามเดียวกันกับที่ถามเต๋า มุ้ยบอกว่าตัวเองก็มีวิธีสอนลูกในแบบของตัวเอง การที่จะบอกว่ามีแค่ผู้ชายที่สอนความแข็งแกร่งได้อยู่เพศเดียวก็คงจะไม่ใช่ เพราะมุ้ยที่เป็นแม่ก็สอนเรื่องแบบนี้ให้ลูกได้
ไม่ใช่แค่เรื่องของนิสัยอย่างเดียวที่มุ้ยสอน เรื่องกีฬา หรือเกม ที่ดูเหมือนจะเป็นกิจกรรมของผู้ชาย มุ้ยก็พยายามสอนเต๋าให้ได้ ถ้าเต๋าต้องการ
“ตอนเด็กๆ เต๋าเคยมาถามว่า ‘แม่ เดาะบอลต้องทำยังไง’ เราก็คิดว่างานเข้าแล้ว (หัวเราะ) ส่วนตัวเราไม่ได้ชอบกีฬา แต่ถ้าลูกมาถามเราก็ต้องทำให้ดู เขาก็ถามถึงกีฬาอื่นๆ อย่างตะกร้อ ต่อยมวย อะไรแบบนี้ด้วย”
มุ้ยรับบทบาททั้งแม่ พ่อ พี่สาว และเพื่อนให้กับเต๋าในเวลาเดียวกัน เต๋าเองก็บอกว่าเขาสนิทกับแม่มากเหมือนเพื่อนคนหนึ่งที่มีอะไรก็เอามาเล่าให้ฟังทุกอย่าง ทำให้เวลามีปัญหาก็ไม่ต้องไปมองหาความช่วยเหลือจากที่ไหนไกล ในขณะเดียวกันถ้ามุ้ยมีเรื่องที่อยากระบายก็สามารถมาเล่าให้เต๋าฟังได้
มุ้ยบอกว่าเต๋ามักเป็น ‘ผู้ฟังที่ดี’ ให้กับเธอเสมอ แถมเธอยังเห็นว่าเพื่อนของเต๋าเองถ้ามีอะไรก็มักจะเล่าให้เต๋าฟัง เพราะเต๋ามักจะฟังและไม่ตัดสิน
ความเปิดกว้างของเต๋าทำให้มุ้ยรู้สึกภูมิใจในตัวลูก เพราะถ้าเต๋าเติบโตเป็นคนที่มีอคติหรือเป็นคนที่คอยตัดสินผู้อื่นเธอก็คงจะไม่สบายใจ ในฐานะแม่และในฐานะที่เป็น LGBTIQNA+ อีกด้วย
มุ้ยเล่าว่า เคยมีครั้งหนึ่งที่เธอพาเต๋าและแฟนมาทำกิจกรรมด้วยกัน พอได้เห็นว่าเต๋าสบายใจที่อยู่กับแฟนของเธอ เล่นกันเหมือนเพื่อน ภาพเหล่านี้ทำให้มุ้ยรู้สึกมีความสุขอย่างบอกไม่ถูก
“ทุกวันนี้ที่เราเลี้ยงดูเต๋ามา เขาคือความภาคภูมิใจของเรา เราดีใจที่สามารถเลี้ยงลูกให้ไม่ทำร้ายจิตใจใคร และไม่มีอคติกับใคร”
เนื่องจากที่ผ่านมามุ้ยเคยเป็นคนที่ฝืนความเป็นตัวเองเพราะความกดดันจากสังคม เธอเองก็รู้ตัวตั้งแต่เด็กๆ ว่าชอบผู้หญิงมาตลอดแต่ก็ไม่เคยพูดกับใคร เพราะในสมัยก่อนการประกาศตัวเองว่าชอบผู้หญิงด้วยกันถือเป็นเรื่องที่ร้ายแรง มุ้ยยอมเก็บความลับนี้ไว้ จนกระทั่งมีลูกและเลิกรากับสามีในที่สุด
ชีวิตใหม่ของมุ้ยเริ่มต้นเมื่อตัวเองมีงานทำ มีเงิน สามารถหาเลี้ยงตัวเองและลูกได้ และที่สำคัญคือได้แสดงออกว่าตัวเองชอบผู้หญิงอย่างเปิดเผย ซึ่งมันคือสิ่งที่สร้างความสบายใจให้เธอมากที่สุด
สำหรับครอบครัวนี้ การจะอยู่แบบแม่กับแม่ หรืออยู่กับแม่คนเดียว ก็คือความธรรมดาไม่ใช่ความแปลก เราเชื่อว่ายังมีอีกหลายครอบครัวที่เป็นแบบนี้ เต๋าในฐานะลูกก็แนะนำให้แม่หรือพ่อสื่อสารตรงๆ และจริงใจกับลูก ถึงแม้ในบางครอบครัว ลูกอาจจะยังเด็กและไม่เข้าใจความหลากหลายนี้ แต่เมื่อโตมาเต๋าเชื่อว่าพวกเขาจะค่อยๆ เรียนรู้ ซึมซับ และทำความเข้าใจได้ในบรรยากาศปลอดภัยอย่างนี้
“เคยเห็นบางครอบครัวที่ไม่อยากเล่าให้ลูกฟังว่ารักเพศเดียวกัน กลัวว่าจะเป็นปัญหา ซึ่งเรามองว่าบอกลูกไปเลยดีกว่า แต่ก็ต้องยอมรับว่าไม่ใช่ทุกคนที่จะเปิดกว้าง เพราะฉะนั้นสังคมก็จะช่วยหล่อหลอมเขาไปด้วย ก็ขึ้นอยู่กับลูกด้วยว่าจะเข้มแข็งได้ไหม” เต๋าทิ้งท้าย