คนตาบอดกินซูชิสายพานยังไง? รู้จักคนตาบอดแบบไม่ผิวเผิน ไปกับ ‘L Spiration’ ช่องติ๊กต็อกที่อยากเปิดพื้นที่ให้คนตาดีและคนตาบอดเป็นเพื่อนกันได้
“เหมือนคนตาบอดกับคนตาดีอยู่คนละโลกกัน”
นี่คือความรู้สึกของ ‘แอล-ธนัญชกร สันติพรธดา’ คนพิการทางการมองเห็น เจ้าของเพจเฟสบุ๊กและช่องติ๊กต็อกที่ชื่อว่า ‘L Spiration’ (แอล สไปเรชัน)
เพราะเหตุผลที่ว่าคนทั่วไปกับคนตาบอดเหมือนอยู่คนละโลกนี่เอง ที่ทำให้แอลตัดสินใจเปิดเพจนี้ขึ้นมา เธอคิดว่ามันยากมาก ที่คนตาดีและคนตาบอดจะเป็นเพื่อนกันได้ เพราะที่ผ่านมาเราไม่ได้รู้จักกันจริงๆ นอกจากเดินผ่านไปมา
“เราอาจเจอกันแค่ผิวเผินบนรถไฟฟ้าระหว่างทาง แต่เราไม่ได้รู้ลึกไปกว่านั้นว่าคนตาบอดเขาทำงานอะไร เขามีครอบครัวนะ เขามีความชอบความถนัด ความสนใจอะไร”
แอลบอกว่าการรู้จักกันแบบนี้นี่แหละจะทำให้คนตาบอดอยู่ใน ‘โลก’ ของคนทั่วไปมากขึ้น มันอาจเป็นจุดเริ่มต้นของการขับเคลื่อนนโยบายหรือสิทธิของคนพิการในอนาคตเลยก็ได้ แต่อย่างที่กล่าวไปว่า ต้องเริ่มจากเห็นคนพิการเป็นคนในสังคมคนหนึ่งให้ได้ก่อน
อีกเหตุผลที่ทำให้แอลเปิดช่องของตัวเองเป็นเพราะว่าเธอรู้สึกว่าตัวเองมีความคิดสร้างสรรค์ ชอบงานสื่อสาร แต่ไปสมัครงานประจำแล้วโดนปฏิเสธ จึงตัดสินใจทำเองซะเลย
อีกเหตุผลที่ทำให้แอลเปิดช่องของตัวเองเป็นเพราะว่าเธอรู้สึกว่าตัวเองมีความคิดสร้างสรรค์ ชอบงานสื่อสาร แต่ไปสมัครงานประจำแล้วโดนปฏิเสธ จึงตัดสินใจทำเองซะเลย
ช่องของแอลนำเสนอเรื่องราวที่เป็นชีวิตประจำวัน เหมือนกับเป็นเพื่อนคนหนึ่งที่มีอะไรจะเล่าให้เราฟัง มีตั้งแต่คลิปสั้นๆ ที่บอกเล่าวิธีการใช้ชีวิตแบบคนตาบอด ไม่ว่าจะเป็น คนตาบอดแยกแบงค์ยังไง?
คนตาบอดเล่นโบว์ลิ่งได้ไหม? หรือคนตาบอดกินซูชิสายพานได้ไหม? เป็นคำถามที่เราเองก็ไม่เคยสงสัย แต่พอแอลมาเล่าให้ฟังแบบนี้ ก็ถือว่าเป็นมุมมองใหม่ๆ ที่เราได้เรียนรู้ไปกับเธอ
คลิปที่เป็นไวรัลที่สุดมียอดดูถึง 1.6 ล้านวิว ซึ่งคือคลิปที่ตอบข้อสงสัยว่าคนตาบอดกินซูชิสายพานยังไง เพราะจานบนสายพานจะเคลื่อนไหวตลอด แถมไม่สามารถรู้ได้ด้วยว่าสิ่งที่อยู่บนจานคืออะไรบ้าง แอลบอกว่าจริงๆ แล้วคนตาบอดก็กินได้ แต่ก่อนเข้าร้านควรไปดูก่อนว่าที่ร้านมีเมนูอะไรบ้าง จากนั้นจำเมนูที่อยากกินแล้วแจ้งพนักงานให้หยิบให้ แต่ท้ายคลิปแอลหักมุมด้วยการบอกว่า ถ้าใช้วิธีของเธอคือการให้แฟน หรือคนที่เธอเรียกว่า ‘คุณเอกชัย’ ป้อนให้นั่นเอง
“มันเป็นไลฟ์สไตล์ของแอลเอง เราก็ไม่ได้อยากเป็นตัวแทนคนตาบอดทั้งประเทศว่า คนตาบอดต้องเป็นแบบนี้แบบนั้น เรากับคนตาบอดคนอื่นไม่เหมือนกันอยู่แล้ว เพราะไม่ใช่คนคนเดียวกัน”
คนตาบอดไม่ได้เหมือนกันทุกคน ทุกคนต่างมีไลฟ์สไตล์และวิธีการใช้ชีวิตในแบบของตัวเอง เพราะฉะนั้นการ ‘เหมารวม’ จึงใช้ไม่ได้ผล เหมือนที่หลายคนมองว่าคนตาบอดทำได้ไม่กี่อาชีพ หมอนวด ขายลอตเตอร์รี่ ร้องเพลง แอลออกตัวเลยว่าคนตาบอดไม่ได้ร้องเพลงเพราะทุกคน อย่างน้อยก็แอลแล้วหนึ่งคน
ที่สำคัญ มันยังมีอีกหลายอย่างที่คนตาบอดทำได้ นอกเหนือจากกรอบที่สังคมวางไว้
หลังจากทำเพจไปได้สักพัก แอลได้ผลตอบรับที่ดีปัจจุบันแอลมีผู้ติดตามในช่องติ๊กต็อกกว่า 13,000 คน และในเฟสบุ๊กอีกกว่า 10,000 คน พอมีรายได้จากการรับสปอนเซอร์มาบ้าง นอกจากงานที่ทำอยู่ นั่นคือเขียนบทความออนไลน์ และถักเชือกทำกระเป๋า
แอลเป็นตัวอย่างหนึ่งที่ฉีกกรอบการทำงานของคนตาบอด เธอเชื่อว่าคนตาบอดสามารถมีอาชีพที่ชอบได้ โดยไม่ต้องจำกัดตามที่สังคมบอกเท่านั้น
“อยากให้ทุกคนทำในสิ่งที่อยากทำ เรารู้สึกว่าชีวิตใคร ชีวิตมัน เขาฟังเราได้แต่ว่าสุดท้ายมันมีแค่ตัวเขาที่จะทำสิ่งนั้นให้มันเกิดขึ้นได้ เราเป็นคนหนึ่งที่ชอบฟัง Ted Talk สร้างแรงบันดาลใจ เพราะถ้าเราอยู่เฉยๆ มันก็ไม่เกิดอะไรขึ้น”
โลกเดียวกันของคนตาดีและคนตาบอด
หลังจากไล่ดูคอมเมนต์ สิ่งหนึ่งที่แอลพบเป็นประจำคือคำถามจากคนทั่วไปว่าคนตาบอดทำเรื่องบางเรื่องยังไง เช่น คนตาบอดฝันเห็นอะไร คนที่ตาบอดตั้งแต่เกิดจะรู้ได้ไหมว่าสีแต่ละสีต่างกันยังไง
แอลไม่ได้มีปัญหากับคอมเมนต์เหล่านี้ ดีเสียอีกว่าเธอได้ถือโอกาสแลกเปลี่ยนในมุมมองของเธอเลย บางเรื่องที่ไม่รู้ก็เอาไปถามเพื่อนตาบอดคนอื่นๆ ได้
แต่แอลสังเกตว่าคำถามเหล่านี้มักมาในรูปแบบที่ ‘เกรงใจ’ เป็นพิเศษ เรียกได้ว่าเกร็งเลยก็ได้ บางคอมเมนต์ก็จะขึ้นต้นด้วย “อย่าว่ากันนะครับ ขอถามว่า..” “ไม่ได้กวนนะ แต่อยากรู้ว่า…” หรือ “ขอโทษนะถ้ารู้สึกไม่ดี ขอถามว่า…”
“คำถามมันไม่ได้มีอะไรเลย แต่คนในสังคมถึงรู้สึกต้องแบบระมัดระวังตัวเองขนาดนั้นกับคนพิการ เราก็คิดว่าถ้าเราเป็นเพื่อนกับคนหนึ่งแล้วเราจะถามคำถามนี้กับเพื่อน เราคงไม่ได้เกรงใจขนาดนั้น มันยังมีกำแพงกั้นระหว่างคนตาดีกับคนตาบอดอยู่”
ในแง่หนึ่งมันก็แสดงให้เห็นถึงการให้เกียรติ การมีมารยาทต่อกันในโลกออนไลน์ แต่ก็สามารถมองได้อีกว่าคนทั่วไปกับคนพิการยังมีระยะห่างต่อกันเยอะ คนทั่วไปบางคนไม่กล้าเข้าหาหรือเป็นเพื่อนกับคนพิการ ในขณะที่คนพิการบางคนก็ไม่กล้าเข้าหาคนทั่วไป เพราะรู้สึกว่าไม่มีอะไรที่ตรงกัน
“เราไม่รู้หรอกว่าเจตนาจริงๆ ของเขามันคืออะไร แต่เราก็รู้สึกว่าการที่เขาถามมันดีกว่าการที่เขาเก็บสิ่งนี้ไว้ในใจ เพราะว่าสุดท้ายมันยังมีพื้นที่ได้คุยกัน แบ่งปันบทสนทนากัน”
บทสนทนาเล็กๆ น้อยๆ อาจนำไปสู่ความเป็นเพื่อนในอนาคตได้ แอลมองว่าคนตาบอดกับคนตาดีเป็นเพื่อนกันได้อยู่แล้ว ตัวเธอเองก็มีเพื่อนเป็นคนตาดีเหมือนกัน ซึ่งก็ไม่ได้แปลกอะไร แค่มีบางอย่างที่ปรับจูนกันนิดหน่อย
“สมมติไปเที่ยวกัน เพื่อนอาจจะชี้แล้วพูดว่า ‘ดูอันนั้นสิสวยจังเลย’ แต่ถ้าไปกับเรา เขาจะบรรยายว่า ต้นไม้เป็นแบบนี้ ดอกไม้มันสวยเพราะแบบนี้ แทนที่จะบอกว่ามันสวยจังเลยแล้วจบ”
ถึงอย่างนั้นแอลก็บอกว่าสิ่งนี้ไม่ได้เป็นปัญหากับเพื่อนเท่าไหร่ แอลและเพื่อนก็ยังใช้ชีวิตด้วยกันได้อย่างปกติ
แอลบอกว่าเป้าหมายของเธอคือการทำให้โลกของคนพิการกับคนตาดีเป็นโลกเดียวกัน เราเป็นเพื่อนกันได้แบบไม่เคอะเขิน รู้จักกันแบบลึกซึ้งโดยที่ไม่ต้องกังวลอะไร ถ้าวันนั้นเกิดขึ้นจริง แอลก็อาจจะพักช่องแล้วไปทำอย่างอื่น เพราะถือว่าเธอได้ทำสำเร็จแล้ว
“ช่องนี้มันเกิดจากการที่คนยังไม่เข้าใจคนตาบอด เราก็เลยมองว่าถ้าคนเข้าใจคนตาบอดแล้ว เราก็ไม่ต้องทำก็ได้ (หัวเราะ)”
