สิ่งที่ผู้ถูกกระทำความรุนแรงอยากบอก

“เรื่องนี้บอกคนอื่นได้นะ คือนุ่นก็เคยโดนกระทำมาก่อนเลยเข้าใจว่าสิ่งที่เจอความน่ากลัวมันเป็นยังไง” 

 

นุ่น หรือธารารัตน์ ปัญญา ทนายความของผู้ผ่านพ้นและผู้ก่อตั้งองค์กร Feminist Legal Support กล่าวระหว่างกิจกรรม Human Library ตัวละครหลังบ้านในการคุ้มครองผู้ผ่านพ้นความรุนแรง ในงานเปิดตัวเทศกาลชีวิตที่ปลอดภัยสำหรับคนทุกเพศ จัดโดย แผนงานสุขภาวะผู้หญิงและความเป็นธรรมทางเพศ สมาคมเพศวิถี และเครือข่ายต่อต้านความรุนแรงด้วยเหตุแห่งเพศ ในโอกาสวันยุติความรุนแรงต่อสตรีสากล เมื่อพฤหัสบดีที่ 27 พฤศจิกายน 2568 ที่ผ่านมา 

 

“นิยามของนุ่นคือทนายของผู้ผ่านพ้น คำว่าผู้ผ่านพ้น มาจากภาษาอังกฤษคำว่า Survivor ที่แปลว่าผู้รอด ชีวิตหรือผู้ผ่านพ้น หลีกเลี่ยงที่จะใช้คำว่าเหยื่อเพราะบางกรณีมีนัยยะเหมือนเป็นการตอกย้ำ เลยเป็นคำว่าผู้ผ่านพ้นซึ่งเป็นคำที่ Empower มากกว่า” ที่จะใช้

 

นุ่น ไม่ใช่หน้าใหม่ของวงการเคลื่อนไหวสิทธิสตรี เพราะนุ่นพูดถึงความเท่าเทียมและเรียกร้องการป้องกันการล่วงละเมิดทางเพศมาตั้งแต่เรียนมหาวิทยาลัย แต่ ณ ตอนนี้ นุ่นคือคนรุ่นใหม่ที่เลือกเส้นทาง ‘ทนาย’ เพื่อทำงานช่วยเหลือทางกฎหมายแก่ผู้เผชิญความรุนแรง 

 

ในฐานะทนาย สิ่งที่นุ่นเห็นชัดที่สุดคือ ‘ปัญหาเชิงโครงสร้าง’ ทั้งกระบวนกฎหมายและการบังคับใช้ที่ยังไม่คำนึงถึงผู้เสียหายเป็นหลัก ‘ร่าง พ.ร.บ. คุ้มครองผู้ถูกกระทำด้วยความรุนแรงในครอบครัว’ที่เสนอโดยเครือข่ายภาคประชาชน ที่มีเครือข่ายต่อต้านความรุนแรงด้วยเหตุแห่งเพศประเทศไทยเป็นตัวกลาง จึงพยายามผลักดันให้ประเทศไทยมีกฎหมายที่คุ้มครองผู้ถูกกระทำรุนแรงในครอบครัวได้จริง และล่าสุดรัฐสภาเพิ่งปิดรับฟังความเห็นเมื่อวันที่ 10 ธันวาคมที่ผ่านมา 

 

“ปัญหาหลักๆ คือเรามักจบที่การไกล่เกลี่ย และสองคือผู้เสียหายจำนวนมากไม่รู้ว่ามีสิทธิอะไร เช่น การขอคำสั่งคุ้มครองสวัสดิภาพ หรือเข้าถึงกองทุนยุติธรรม แต่ตำรวจซึ่งควรเป็นผู้แจ้งกลับละเลย และใช้ดุลพินิจส่วนตัวในการตัดสินใจ”

 

จากประสบการณ์เป็นทนายของผู้ผ่านพ้นประมาณ 3 ปี และในฐานะตัวแทนของผู้ถูกกระทำความรุนแรง มีอีกหลายสิ่งที่นุ่นอยากบอกต่อให้สังคมเข้าใจร่วมกันว่าทำไมเราต้องแก้ไขกระบวนการทางกฎหมายต่อผู้ถูกกระทำด้วยความรุนแรงในครอบครัว

มูลนิธิหญิงชายก้าวไกล รวบรวมสถิติข่าวความรุนแรงในครอบครัวที่เสนอผ่านสื่อในปี 2566 พบว่าข่าวความรุนแรงในครอบครัวทั้งสิ้น 1,086 ข่าว อันดับ 1 ได้แก่ข่าวการทำร้ายกันจนได้รับบาดเจ็บ 39.9% ในจำนวนนี้เป็นการทำร้ายระหว่างสามี-ภรรยามากที่สุด 35% ระหว่างพ่อ-แม่-ลูก 25% และระหว่างคู่รักแบบแฟน 24% โดยส่วนใหญ่มีการใช้อาวุธร่วมด้วย เช่น มีด ไม้ ท่อนเหล็ก น้ำร้อนราด กรรไกร รวมถึงการใช้อาวุธปืนข่มขู่ และเกือบทั้งหมดเป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นซ้ำหลายครั้งก่อนจะกลายเป็นข่าว

อังคณา อินทสา ผู้อำนวยการมูลนิธิหญิงชายก้าวไกล กล่าวว่าถ้านับจากจำนวนข่าวแล้ว ยังเทียบไม่ได้กับจำนวนผู้ถูกกระทำความรุนแรงที่ไม่ได้ไปแจ้งความ หรือบางคดีจบที่การไกล่เกลี่ยก่อนเข้าสู่ระบบยุติธรรมด้วยซ้ำ ซึ่งก็มีหลายปัจจัยที่ทำให้เขาไม่กล้าไปแจ้งความ เช่น บางคนยังต้องพึ่งพาอีกฝ่ายเรื่องเงินจึงต้องทนไปก่อน

ขณะที่นุ่น มองว่าพ.ร.บ. คุ้มครองผู้ถูกกระทำด้วยความรุนแรงในครอบครัว ฉบับปี 2550 ที่ใช้อยู่ในปัจจุบันมีกำหนดอัตราโทษความรุนแรงในครอบครัวไว้ค่อนข้างต่ำเมื่อเทียบกับการกระทำผิดลักษณะเดียวกันในประมวลกฎหมายอาญา และมุ่งรักษาสถาบันครอบครัวมากกว่า

“หลายเคสถูกแนะนำให้ไกล่เกลี่ยหรือยอมความกันมากกว่าการเข้าไปสู่กระบวนการฟ้องร้อง ซึ่งผู้ถูกกระทำความรุนแรงหลายคนก็ยอม หรือบางคนไม่รู้ว่าจะไปขอความช่วยเหลือจากไหน”

ขั้นตอนการดำเนินการของนุ่นคือเคสส่วนหนึ่งมักจะถูกส่งต่อมาจากมูลนิธิที่ทำงานเรื่องความรุนแรงทางเพศ หรือหน่วยงานที่เป็นองค์กรส่งเสริมผู้หญิง อีกส่วนคือติดต่อเข้ามาที่นุ่นโดยตรงด้วยการเล่าว่าตัวเองเจอการกระทำแบบนี้มา แล้วต้องการแจ้งความ

“กระบวนการในชั้นศาลจะค่อนข้างใช้ระยะเวลาที่ยาวนาน บางคนที่อยู่ระหว่างกระบวนการโดนคุกคามจากฝ่ายตรงข้าม หรือยังโดนข่มขู่ตลอดเวลา เขาใช้ชีวิตแบบหวาดระแวง บางครั้งผู้ถูกกระทำความรุนแรงจึงตัดสินใจไม่แจ้งความ เพราะไม่มั่นใจว่าจะสู้ไปเพื่อผลลัพธ์แบบไหน เขาเลยยอมไกล่เกลี่ย ยอมความดีกว่า” นุ่นกล่าว

ร่าง พ.ร.บ. ฉบับภาคประชาชนจึงมีการกำหนดให้อายุความและเงื่อนไขการยอมความเป็นไปตามกฎหมายอาญา โดยเพิ่มมาตรการที่จะประกันความปลอดภัยและอำนวยความยุติธรรมแก่ผู้ถูกกระทำให้รัดกุมยิ่งขึ้นในกรณีที่มีการยอมความ 

สำหรับผู้ถูกกระทำความรุนแรง ความเสียหายไม่ใช่แค่อาการบาดเจ็บตามร่างกาย แต่ยังส่งผลกระทบต่อจิตใจ หากต้องให้ผู้ถูกกระทำความรุนแรงเล่าถึงเหตุการณ์ซ้ำๆ จะยิ่งตอกย้ำบาดแผลหรือปมในใจ นุ่นเล่าว่าสิ่งนี้ยังคงปรากฏอยู่ในขั้นตอนหรือกระบวนการยุติธรรมไทยในปัจจุบัน

“ในกระบวนการยุติธรรม ผู้เสียหายมักจะถูกตั้งคำถามจากเจ้าหน้าที่ในกระบวนการยุติธรรม ตั้งแต่ชั้นตำรวจไปจนถึงทนายฝ่ายตรงข้าม เช่น โดนเมื่อไร โดนกระทำอะไรบ้าง แล้วผู้ถูกกระทำความรุนแรงต้องเล่าสิ่งนี้ขึ้นมา มันกระทบจิตใจเขาอยู่แล้ว บางคนต้องเล่าถึง 5-6 รอบ”

นุ่นอธิบายว่าตอนนี้มีสิ่งที่เรียกว่า Trauma informed care หรือหลักการคำนึงถึงผลกระทบทางแผลใจ กรณีความรุนแรงในครอบครัว ผู้ผ่านพ้นมักต้องเผชิญกับการเล่าเหตุการณ์ซ้ำหลายครั้ง การถูกตั้งคำถามเชิงกล่าวโทษ เช่นทำไมไม่หนี / ทำไมทนอยู่ / ทำไมเพิ่งมาแจ้ง

การยึดหลัก Trauma inform คือแนวคิดในการถามผู้เสียหายที่ต้องคำนึงถึงผลกระทบและบาดแผลทางจิตใจ และมีการหลีกเลี่ยงที่จะไม่ใช้คำถามที่ไปซ้ำเติมผู้เสียหาย ยกตัวอย่างเช่น การเปลี่ยนคำถามจาก “ทำไมไม่แจ้งความตั้งแต่ตอนนั้น” เป็น “ภายหลังจากนั้น เกิดผลกระทบอะไรบ้าง ที่ทำให้ตัดสินใจมาแจ้งความในตอนนี้ และต้องการให้เราช่วยหรือซัพพอร์ต ดูและคุณอย่างปลอดภัยได้อย่างไร” แทน

“บางคนเพิ่งเจอเหตุการณ์แบบสดใหม่ ในฐานะทนายเราต้องให้เวลาเขาค่อยๆ ทำใจ และเล่าออกมา หรือการแจ้งให้ชัดว่าเราจะถามเรื่องนี้นะ ขอถามตรงๆ แต่จะถามแค่รอบเดียวพอ” นุ่นกล่าว

“เจ้าหน้าที่รัฐจำนวนไม่น้อยยังมองว่าความรุนแรงในครอบครัว เคลียร์กันได้ หรือเป็นเรื่องเล็กน้อยเพราะสังคมยังมีทัศนคติว่า ผู้หญิงเป็นสมบัติของสามี โดยเฉพาะในกลุ่มคนรุ่นกลาง-สูงอายุ”

นุ่นเล่าถึงบริบท และทัศนคติของเจ้าหน้าที่รับเรื่อง ซึ่งเป็นกระบวนการสำคัญของการแจ้งความคดีความรุนแรงทางเพศ ซึ่งพ.ร.บ. คุ้มครองผู้ถูกกระทำด้วยความรุนแรงในครอบครัวฉบับปัจจุบันยังมีแนวคิดหลักคือรักษาครอบครัวไว้ ส่งผลให้การทำงานของตำรวจและเจ้าหน้าที่ในกระบวนการยุติธรรมมุ่งไปที่การไกล่เกลี่ย มากกว่าการปกป้องผู้เสียหาย ตัวอย่างเช่น ตำรวจมักโทรหาผู้กระทำเพื่อถามว่าจะตกลงกันอย่างไร โดยไม่สอบถามเจตนารมณ์ของผู้เสียหายเลย

บทความวิชาการเรื่อง ‘ทัศนคติทางเพศของตำรวจไทย’ (Thai Police Officers’ Attitudes Toward Intimate Partner Violence and Victim Blaming: The Influence of Sexism and Female Gender Roles. Journal of Interpersonal Violence) จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย พบว่า ความคิดเหยียดเพศ (sexism) และทัศนคติที่ไม่เข้าใจความรุนแรงในครอบครัวของตำรวจไทย ส่งผลให้ตำรวจมีแนวโน้มที่จะโทษเหยื่อ หรือมองเบาความรุนแรงของคู่สมรสที่เป็นสามีหรือคู่รัก

เช่นเดียวกับที่การมีเจ้าหน้าที่หญิงในสถานีตำรวจมีความสำคัญอย่างมาก เพราะผู้หญิงและเด็กมักรู้สึกปลอดภัยกว่า โดยเฉพาะเมื่อผู้กระทำความผิดเป็นเพศชายหรือคู่สมรสของเหยื่อเอง ซึ่งช่วยให้เหยื่อเปิดใจ และรายงานข้อมูลที่สำคัญได้มากขึ้น ส่งผลต่อการสืบสวนและส่งต่อคดีไปยังระบบยุติธรรมอย่างเป็นรูปธรรม

“บางที่ไม่มีตำรวจหญิงสำหรับการสืบสวนเรื่องนี้นะ แล้วบางคนก็ไม่สบายใจกับการเล่าเรื่องให้ฟังว่าตัวเองโดนกระทำแบบนี้” นุ่นอธิบาย

“บางทีเขาไม่ได้หวังให้คนที่กระทำโดนแบบเขานะ หรือไม่ได้ต้องการให้อีกฝ่ายต้องตายหรือติดคุก แต่เขาอยากใช้ชีวิตแบบปกติ”

นุ่นเล่าว่าจากผู้ถูกกระทำในคดีความที่นุ่นดูแล ความปรารถนาสูงสุดไม่ใช่เงินเยียวยา หรือการไกล่เกลี่ย หรืออีกฝ่ายต้องมาสำนึกผิด แต่คือการที่เขายังคงได้ใช้ชีวิตปกติ ไม่ได้ถูกระราน

นุ่นมองว่า การที่พนักงานหรือเจ้าหน้าที่เลือกวิธีไกล่เกลี่ยในคดีความเรื่องความรุนแรงในครอบครัวมีปัจจัยจากหลายสาเหตุ

“ต้องยอมรับว่าเจ้าหน้าที่ภาระงานเยอะ ไม่มีชุดความรู้ทักษะที่มากพอ เพราะการพิสูจน์หลักฐานต้องใช้ใบตรวจร่างกายต่างๆ รวมถึงมีความคิดพื้นฐานว่าเรื่องความรุนแรงในครอบครัวเป็นเรื่องในบ้าน สามารถคุยกันได้เลยเลือกให้ไกล่เกลี่ยมากกว่า แต่การไกล่เกลี่ยไม่ได้ผลกับทุกกรณีเพราะยิ่งจะทวีความอันตรายเข้าไปอีก”

ตามหน้าข่าวจะพบการใช้ความรุนแรงในบ้านถึงขั้นเสียชีวิต หรือเหตุฆาตกรรมที่มีสาเหตุจากความรุนแรงที่สะสม ร่าง พ.ร.บ. คุ้มครองผู้ถูกกระทำด้วยความรุนแรงในครอบครัว ฉบับภาคประชาชน ระบุให้ศาลมีอำนาจพิจารณาลดโทษแก่บุคคลที่ถูกคู่กรณีในคดีนั้นๆ กระทำความรุนแรงซ้ำอย่างต่อเนื่องจนได้รับความกระทบกระเทือนทางร่างกายหรือจิตใจอย่างรุนแรง และตอบโต้ด้วยความรุนแรงจนกลายเป็นผู้กระทำผิด (Battered person syndrome) เช่น กรณีสามีทุบตีภรรยามาเป็น 10 ปี จนวันหนึ่งภรรยาทนไม่ไหวทำร้ายร่างกายสามีกลับ หากสอบสวนได้ว่า ภรรยาเคยตกเป็นเหยื่อของสามีมาเป็นเวลานาน จะมีการลดโทษให้ ทั้งนี้ เพื่อให้เกิดความเป็นธรรมแก่ผู้ที่ได้กระทำผิดเนื่องจากตนเป็นฝ่ายถูกกระทำความรุนแรงมาก่อน

นุ่น กล่าวทิ้งท้ายว่า การเปลี่ยนแปลงที่สำคัญที่สุดอาจไม่ใช่เพียงการแก้กฎหมายหรือปรับขั้นตอนในกระบวนการยุติธรรมเท่านั้น แต่คือการเปลี่ยนกรอบคิดของสังคมและเจ้าหน้าที่รัฐ ที่ยังมองความรุนแรงในครอบครัวเป็น ‘เรื่องส่วนตัว’ หรือ ‘เรื่องของสามีภรรยา’ มากกว่าการละเมิดสิทธิขั้นพื้นฐานของมนุษย์คนหนึ่ง

 

กรอบความคิดเช่นนี้ไม่เพียงทำให้ความรุนแรงถูกลดทอนความสำคัญ แต่ยังทำให้ผู้ผ่านพ้นจำนวนมากไม่ได้รับความช่วยเหลืออย่างทันท่วงที ถูกผลักให้ไกล่เกลี่ยแทนการคุ้มครอง และต้องเผชิญกับการคุกคามซ้ำโดยไม่มีหลักประกันความปลอดภัยในชีวิตประจำวัน สำหรับนุ่น การช่วยเหลือผู้ผ่านพ้นจึงไม่ควรถูกตั้งอยู่บนคำถามว่า “เป็นเรื่องของใคร” แต่ควรตั้งอยู่บนหลักการว่า ความรุนแรงไม่ใช่เรื่องส่วนตัว และไม่มีใครควรถูกปล่อยให้เผชิญตามลำพัง

Shares:
QR Code :
QR Code