“ฉันไม่ได้แค่ถูกข่มขืน แต่ฉันถูกขโมยเวลาชีวิตไปสิบปีในขณะที่ฉันหลับอยู่” จีเซล เพเลคอตที่บอกว่า ความอับอายควรเป็นของผู้กระทำ ไม่ใช่ของเหยื่อ

ทุกคนในที่นี้รู้จัก จีเซล เพเลคอต (Gisèle Pelicot) ไหม? 

 

ถ้าไม่รู้จักก็คงไม่ใช่เรื่องผิด แต่เมื่อปี 2020 ชื่อของ ‘จีเซล’ หญิงวัยกลางคนชาวฝรั่งเศสกลายเป็นชื่อที่คนทั้งโลกให้ความสนใจ เพราะคดีความ และกระบวนการสอบสวนทำให้โลกต้องช็อกกับเรื่องราวของเธอ 

แรกเริ่มจีเซลมีปัญหาด้านการนอนหลับ และมีภาวะมึนเบลอเหมือนคนเมายา รวมทั้งปัญหาสุขภาพด้านเพศมาตลอดเกือบ 10 ปี จนท้ายที่สุดเธอกลับพบความจริงว่าสามีของเธอวางยานอนหลับ แล้วเชิญชายแปลกหน้ามาข่มขืนเธอซ้ำแล้วซ้ำเล่าเป็นเวลานานกว่า 10 ปี โดยเธอไม่รู้ตัวเลยสักครั้ง พร้อมทั้งภาพถ่ายและวิดีโอหลายร้อยไฟล์เก็บไว้ 

ปี 2024 จีเซลยอมให้คดีนี้เปิดเผยต่อสาธารณะ และเมื่อเธอเดินขึ้นศาลฝรั่งเศสด้วยสายตาที่มุ่งมั่น เธอกล่าวกับสื่อมวลชนว่า “ความอับอายควรเป็นของผู้กระทำ ไม่ใช่ของเหยื่อ” คำพูดนี้กลายเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญที่ทำให้โลกหันกลับมามองคำว่า ‘ความรุนแรงในครอบครัว’ ใหม่อีกครั้งไม่ใช่ในฐานะเรื่องส่วนตัว แต่คือเรื่องของโครงสร้างสังคมทั้งหมด


บ้าน คือความเท่าเทียม ไม่ใช่มีผู้ใช้อำนาจ และมีผู้ที่ถูกกดขี่

ภาพของบ้านที่ควรเป็นที่ปลอดภัย เป็นเพียงกรอบที่สังคมอยากให้เป็น แต่ไม่ใช่ความจริงของผู้หญิงจำนวนมากทั่วโลกเผชิญ 

ตามรายงานขององค์การอนามัยโลก (WHO) พบว่าผู้หญิงทั่วโลกกว่า 840 ล้านคน ถูกใช้ความรุนแรงโดยคู่ชีวิตอย่างน้อยหนึ่งครั้ง และในปี 2025 มีผู้หญิงกว่า 316 ล้านคน ถูกทำร้ายหรือถูกข่มขืนโดยคู่ชีวิต

ความรุนแรงจึงไม่ได้อยู่ที่ซอยลับตา ไม่ได้ถูกกระทำโดยคนแปลกหน้าอย่างที่สื่อชอบนำเสนอ หากแต่เกิดจากคนที่ใกล้ตัวที่สุด อย่างสามี คนรัก สมาชิกในครอบครัว

“คู่ชีวิตไม่ใช่ความปลอดภัยเสมอไป” อังคณา อินทสา หัวหน้าฝ่ายส่งเสริมความเสมอภาคระหว่างเพศ มูลนิธิหญิงชายก้าวไกล กล่าว 

“ผู้หญิงจำนวนมากที่เข้ามาขอความช่วยเหลือบอกคล้ายกันว่า ‘เขาเป็นคนดีเกือบตลอดเวลา’ ซึ่งนั่นคือคำที่เราได้ยินบ่อยที่สุดจากเหยื่อที่พยายามอธิบายตัวผู้กระทำ” 

สำหรับคนที่ทำงานด้านยุติความรุนแรงในครอบครัวมานาน อังคณา ยืนยันว่าความรุนแรงในครอบครัวจึงไม่ใช่เรื่องของอารมณ์ชั่ววูบ แต่เป็นผลผลิตจากความไม่เท่าเทียมเชิงอำนาจ ทั้งอำนาจในความสัมพันธ์ เพศ หรือต่อรองทางเศรษฐกิจ


อย่าเงียบกับสิ่งที่เกิดขึ้น

ในคำให้การต่อศาล จีเซล กล่าวว่า “ฉันไม่ได้แค่ถูกข่มขืน แต่ฉันถูกขโมยเวลาชีวิตไปสิบปีในขณะที่ฉันหลับอยู่”

สิ่งที่ทำให้คดีของจีเซลสะเทือนใจไม่ใช่เพียงความโหดร้ายทางกาย แต่คือความไว้วางใจ ที่ถูกทำลายแบบหมดสิ้น

ตลอดสิบปี เธอหลับไปใต้ผลของยาที่สามีเป็นคนผสม สามีคือคนที่เธอควรไว้ใจที่สุด แต่กลับเป็นผู้จัดการให้ชายอื่นมาล่วงละเมิดร่างกายของเธออย่างเป็นระบบ

นักวิชาการด้านสังคมวิทยาในฝรั่งเศสวิเคราะห์ว่าคดีนี้เปิดโปง ‘ความเงียบในบ้าน’ ของสังคมต่อความรุนแรงในครอบครัว เพราะผู้หญิงจำนวนมากไม่รู้ตัวว่าเกิดอะไรขึ้นกับตน หรือไม่กล้าออกมาพูด

ฟาโรห์ จักรภัทรานน นักสื่อสารประเด็นสังคมจากเพจ The Common Thread กล่าวในงานงานประชุมวิชาการและแลกเปลี่ยนรู้ครั้งที่ 3 (Voice of the voiceless) โดยสำนักสนับสนุนสุขภาวะประชากรกลุ่มเฉพาะ (สำนัก 9) สสส.ห้องย่อยที่ 3 : ถึงเวลา…#change DV law #แก้กฎหมายความรุนแรงในครอบครัว เมื่อ 18 มิถุนายน 2568 ที่ผ่านมาว่า 

 

“คดีความรุนแรงต่อผู้หญิงจำนวนมากถูกทำให้เป็นเรื่องเล็ก เรื่องครอบครัว เรื่องที่ไม่ควรนำมาพูด แต่ยิ่งเราเงียบ ผู้กระทำก็ยิ่งลอยนวล”

ฟาโรบอกว่าเบื้องหลังคดีความรุนแรงหลายคดีมีรูปแบบซ้ำกัน โดยที่ผู้หญิงถูกทำให้สงสัยตัวเอง ถูกบอกว่า ‘คิดมากไปเอง’ ‘เรื่องในบ้านไม่ควรพูด’ หรือ ‘อดทนหน่อย เดี๋ยวเขาก็ดี ซึ่งนี่คือโครงสร้างการกดทับที่ทำให้ความรุนแรงดำรงอยู่เสมอมา

“ถ้าสังคมยังมองว่าเรื่องในบ้านคือเรื่องส่วนตัว คุณไม่มีทางหยุดความรุนแรงได้ เพราะในบ้านต่างหากคือจุดเริ่มต้นของหลายๆ บาดแผลของผู้หญิง” ฟาโรกล่าว 

สิ่งนี้ตรงกับที่ อังคณา เล่าว่าสิ่งที่ยากที่สุดไม่ใช่การจัดหาที่พัก หรือการพาเหยื่อไปตรวจร่างกาย แต่คือการให้เหยื่อเชื่อว่าพวกเธอไม่ผิด

“ผู้หญิงจำนวนมากพูดแบบเดียวกันว่า ‘กลัวคนหาว่าใจร้ายที่เอาผัวเข้าคุก’ ทั้งที่ตัวเธอถูกทำร้ายมาเป็นปีๆ”

 

ขอทุกคนให้กล้าแบบ ‘จีเซล เพเลคอต’

ในบริบทของประเทศไทยและทั่วโลก หน่วยงานด้านสวัสดิภาพผู้หญิง องค์กรพัฒนาเอกชน (NGO) และสื่อ มีบทบาทสำคัญในการ ทำให้ปัญหาไม่ใช่เรื่องลับภายในบ้านอีกต่อไป ที่แม้ว่าในประเทศไทยจะมีความพยายามทางนโยบายและการให้บริการด้านนี้ แต่ตามรายงานจากกลุ่มสิทธิมนุษยชน หนึ่งในปัญหาหลักคือผู้หญิงจำนวนมากยังไม่กล้ารายงาน เนื่องจากกลัวอับอาย กลัวถูกปฏิเสธสิทธิ หรือไม่ไว้ใจระบบยุติธรรม

 

การหยุดวงจรส่งต่อความรุนแรงจึงไม่ใช่แค่การให้เหยื่อรอด แต่คือการสร้างสังคมที่ปลอดภัยจริงสำหรับผู้หญิงทุกคน เช่นเดียวกับที่ การต่อสู้กับความรุนแรงในครอบครัวไม่ใช่เรื่องของเหยื่อเพียงฝ่ายเดียว ไม่ใช่เรื่องของตำรวจหรือศาล ไม่ใช่เพียงงานของ NGO แต่เป็นเรื่องของทุกคน

เช่นเดียวกับที่จีเซลยอมให้คดีความของเธอเปิดเผยต่อสาธารณะ เพราะเธอมองว่าเรื่งที่เธอเจอเป็นเรื่องที่ต้องได้รับการพูดถึง 

“เราต้องเลิกคิดว่าผู้หญิงต้องอดทน หรือผู้หญิงต้องเก็บเรื่องนี้ไว้กับตัว เมื่อเราเริ่มพูดถึงความรุนแรงอย่างเปิดเผย วงจรของมันก็เริ่มแตกออกทีละนิด”

จีเซลยืนหยัดว่าเธอโดนสามีและชายอื่นข่มขืน แต่นี่ไม่ใช่ความผิดของเธอ “ความอับอายควรเป็นของผู้กระทำ ไม่ใช่ของเหยื่อ” 

ขอบคุณจีเซล ที่ทำให้คดีนี้เป็นตัวอย่าง ขอบคุณที่กล้าหาญมากในการออกมาพูดเพื่อผู้หญิงคนอื่นและทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในอนาคตเพื่อสร้างพื้นที่ปลอดภัยสำหรับทุกคน อยากให้มีผู้ถูกกระทำลุกมามากขึ้น 

เคสนี้ทำให้เราเห็นว่าการลุกขึ้นมาพิทักษ์สิทธิ์ของผู้ถูกกระทำเมื่อถูกกระทำความรุนแรงเป็นสิ่งที่ถูกต้อง คนที่ควรอายไม่ใช่ผู้ถูกกระทำ แต่เป็นผู้กระทำ!

Shares:
QR Code :
QR Code