สุขภาวะแรงงานสองล้อ คุยเรื่องเส้นทาง Healthy Rider กับ พงษ์ศักดิ์ สกุลทักษิณ ด้วยแนวคิด ถ้าไรเดอร์คนหนึ่งสุขภาพดี สังคมก็จะดีขึ้น เพราะ พวกเขาคือคนที่แบกรับความเสี่ยงแทนเราในทุกวัน

หากกวาดตาไปบนท้องถนนของเมืองใหญ่ จะพบผู้ร่วมเดินทางสองล้อที่ส่วนใหญ่ใส่เครื่องแบบแจ็กเก็ตสีเขียว สีเขียวเข้ม สีส้ม สีชมพู ทำหน้าที่ ‘ขนส่งความสะดวก’ ถึงมือผู้คนที่ใช้บริการ ทั้งการขนส่งอาหาร ส่งเอกสาร และส่งผู้คน ในวินาทีนี้ ‘ไรเดอร์’ ไม่ใช่เพียงคนส่งของหรือผู้ขับมอเตอร์ไซค์รับจ้าง แต่คือฟันเฟืองสำคัญของชีวิตเมืองยุคดิจิทัล พวกเขาคือคนที่แบกรับความเสี่ยงแทนเราในทุกวัน และเบื้องหลังรอยยิ้มตอนส่งอาหารถึงมือ มักมีเรื่องราวของความเหนื่อยล้า ความเครียด และสุขภาพที่ค่อยๆ สึกหรอโดยไม่รู้ตัว

จากภาพที่หลายคนคุ้นตา กลุ่มคนสวมเสื้อแจ็กเก็ตสีสดโลโก้แพลตฟอร์ม ขับรถฝ่าฝนหรือแดดจัดเพื่อให้ลูกค้าได้รับอาหารตรงเวลา ทำให้อาจารย์พงษ์ศักดิ์ สกุลทักษิณ นักวิชาการ มองเห็นความเปราะบางในชีวิตแรงงานกลุ่มนี้ จนนำไปสู่โครงการ ‘Healthy Rider’ หรือ ‘เฮลตี้ไรเดอร์’ ที่มุ่งสร้างสุขภาวะองค์รวมให้กับแรงงานบนสองล้อทั่วประเทศ

อ้วนลงพุงเพราะไม่มีเวลาเลือกกิน เครียดเพราะต้องทำค่ารอบ ปัญหาของวิถีไรเดอร์ที่ไม่ควรมองข้าม

“ตอนแรกเราเพียงอยากรู้ว่าไรเดอร์ทำงานกันอย่างไร เขามีปัญหาสุขภาพแบบไหน” อาจารย์พงษ์ศักดิ์เล่าย้อนถึงจุดเริ่มต้นของโครงการ

‘เฮลทีไรเดอร์’ หรือโครงการเสริมพลังชุมชนสู่การสร้างเสริมสุขภาพไรเดอร์ (Healthy Rider) สนับสนุนโดย สำนักสนับสนุนสุขภาวะประชากรกลุ่มเฉพาะ สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) คือโครงการเพื่อการตระหนักถึงสุขภาพของกลุ่มแรงงานนอกระบบ อย่างไรเดอร์ เน้นการมองเห็นว่าสุขภาพที่ดีไม่ได้หมายถึงแค่ร่างกายแข็งแรง แต่รวมถึง สุขภาวะองค์รวมทั้งกาย – จิต – สังคม – จิตวิญญาณ รวมถึงเน้นให้ไรเดอร์เห็นคุณค่าและหันกลับมาดูแลตนเอง ผ่านแรงกระตุ้นจากเพื่อน ชุมชน และแพลตฟอร์ม ขยายไปถึงการสนับสนุนอาชีพอื่นๆ และสร้างเครือข่ายช่วยเหลือกันในชุมชนไรเดอร์

‘เฮลทีไรเดอร์’ เริ่มจากการเก็บข้อมูล ด้วยแบบสอบถามประเมินความเสี่ยงกลุ่มไรเดอร์ พบว่าภาพรวมปัญหาสุขภาพของไรเดอร์หลักๆ คืออยู่ที่สุขภาพจิต ความยืดหยุ่นของร่างกาย และอุบัติเหตุ แต่เมื่อเริ่มตรวจสุขภาพจริงโดยใช้เทคโนโลยีที่แม่นยำมากขึ้น สิ่งที่พบเกินคาดคือ ‘ภาวะอ้วนลงพุง’ ซึ่งเกิดในช่วงอายุที่น้อยกว่าประชากรทั่วไปอย่างน่าตกใจ


อ.พงษ์ศักดิ์อธิบายเพิ่มเติมว่า ภาวะอ้วนลงพุง เกิดขึ้นในกลุ่มไรเดอร์ตั้งแต่อายุที่น้อยกว่าคนทั่วไป คือเวัย 27–28 ปี สะท้อนถึงความเสี่ยงสูงในการเกิดโรค NCDs หรือโรคไม่ติดต่อ เช่น เบาหวาน ความดัน นอกจากนี้ภาวะสุขภาพจิตยังมีเรื่องความเครียดเข้ามาเกี่ยวข้อง สาเหตุหลักๆ มาจากพฤติกรรมเสี่ยงจากอาชีพที่ต้องขับขี่รถตลอดเวลา

“โดยปกติคนจะเริ่มอ้วนลงพุงตอนอายุสามสิบห้าปีขึ้นไป แต่ไรเดอร์บางคนยี่สิบเจ็ดก็เริ่มแล้ว” อ.พงษ์ศักดิ์กล่าว

การค้นพบนี้กลายเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญ ทำให้ทีมโครงการหันมามองอย่างลึกซึ้งถึงปัจจัยแวดล้อมที่ทำให้แรงงานกลุ่มนี้ป่วยเร็วขึ้น ทั้งที่ยังหนุ่มแน่นและดูแข็งแรงกว่าคนทั่วไป

ความเสี่ยง จากคนที่แบกรับความเสี่ยงแทนคนส่วนหนึ่ง

“ไรเดอร์ไม่ได้อ้วนเพราะกินเยอะอย่างเดียว แต่เพราะเขาไม่มีเวลาจะเลือกกิน”

อ.พงษ์ศักดิ์อธิบายต่อว่า อาหารของไรเดอร์มักมาจากร้านสะดวกซื้อหรือข้างทาง เป็นของที่กินง่ายและอิ่มเร็ว มากกว่าที่จะมีคุณค่าทางโภชนาการ การพักผ่อนก็ถูกลดทอนลงเมื่อรายได้ต่อรอบลดลง พวกเขาต้องวิ่งรอบมากขึ้นเพื่อให้ถึงเป้าหมายรายวัน การนอนพักจึงกลายเป็นเรื่องรองจากปากท้อง

“บางคนตั้งเป้าวันละหนึ่งพันบาท ถ้าไม่ได้ก็ไม่หยุด” อาจารย์เล่าต่อว่า “มันเป็นวัฏจักรที่โหดร้าย พักผ่อนน้อย กินไม่ดี เคลื่อนไหวไม่ต่อเนื่อง สุขภาพเลยพังเร็ว”

แม้ไรเดอร์จะดูเหมือนเคลื่อนไหวตลอดเวลา แต่ในความเป็นจริง การขับขี่บนรถไม่ได้ช่วยให้ร่างกายได้ออกกำลังกายจริงจัง การเผาผลาญจึงไม่เพียงพอ เมื่อรวมกับความเครียดจากงาน ความเสี่ยงต่อสุขภาพจึงเพิ่มขึ้นอย่างเงียบๆ

“อีกอย่างคือไรเดอร์ไม่ได้ใส่ใจสุขภาพของตัวเองแบบจริงจัง เพราะเขาคิดว่าอายุยังน้อยยังไม่เป็นไร และคิดว่าตัวเองเคลื่อนไหวตลอดเวลาบนมอเตอร์ไซค์ แต่ความเป็นจริงคือไม่ใช่ ไหนจะปัจจัยเสี่ยงเรื่องมลพิษ อุบัติเหตุ ความกดดันอื่นๆ อีก”

เรื่องสุขภาพจิตก็เป็นอีกข้อค้นพบที่มีนัยสัมพันธ์กัน อ.พงษ์ศักดิ์บอกเชิงติดตลกว่าไรเดอร์หัวร้อนได้ง่าย เพราะสภาพแวดล้อมกดดันทั้งเวลา การสื่อสาร การจราจร โดยข้อมูลจากการเก็บรวบรวมพบว่าไรเดอร์ตั้งรายได้ตามเป้าหมายคือ 800-1,200 บาท/วัน จึงต้องทำงานมากถึง 8-12 ชั่วโมง/วัน

“ไรเดอร์จำนวนมากเลือกอาชีพนี้เพราะมันอิสระไม่มีเจ้านาย ไม่มีเวลาเข้าออกงานตายตัว หลายคนเคยผิดหวังจากงานระบบ หรืออยากมีรายได้เสริม แต่เบื้องหลังความอิสระคือความเสี่ยงที่ต้องแบกรับคนเดียว ตั้งแต่การขับขี่บนถนน ไปจนถึงการไม่มีหลักประกันสุขภาพจากนายจ้าง”

“ไรเดอร์ไม่ต่างจากคนขับแท็กซี่หรือสิบล้อ แต่ต่างกันตรงที่ไม่มีใครดูแล ไม่มีหัวหน้าวิน ไม่มีพื้นที่พัก ไม่มีเวลาหยุด เขาต้องดูแลตัวเองทุกอย่าง” อาจารย์พงษ์ศักดิ์เปรียบเทียบ

โครงการ Healthy Rider จึงไม่ใช่เพียงการตรวจสุขภาพ แต่เป็นการสร้าง ‘ระบบสนับสนุน’ รอบตัวไรเดอร์ ทั้งจากเพื่อนร่วมอาชีพ แพลตฟอร์มที่พวกเขาทำงานให้ และชุมชนสังคมโดยรอบ

‘เฮลทีไรเดอร์’ มีจัดตรวจสุขภาพเชิงรุก ร่วมมือกับโรงพยาบาล 3 แห่งใน กทม. อย่างโรงพยาบาลกลาง โรงพยาบาลเจริญกรุงประชารักษ์ และโรงพยาบาลราชพิพัฒน์ เพื่อสร้างความตระหนักรู้ด้านสุขภาพไรเดอร์ รวมถึงตรวจคัดกรองเฉพาะโรคที่เสี่ยงในอาชีพ เช่น ปอด ตา หู นอกเหนือจากการตรวจสุขภาพประจำปีทั่วไป

และมีการสร้างโปรแกรมติดตามสุขภาพไรเดอร์ Wheel Being เพื่อมอนิเตอร์สุขภาพต่อเนื่อง เน้นการตั้งเป้าหมายสุขภาพ หรือกิจกรรมเปลี่ยนถ่ายน้ำมันเครื่องราคาพิเศษ เพื่อจูงใจให้เข้ามาตรวจสุขภาพ

“ระหว่างรอผลตรวจสุขภาพในแต่ละเดือน ทีมงานยังติดตามผ่านโปรแกรมชื่อ “Wheel-being” คำพ้องเสียงกับ “Well-being” ที่หมายถึงสุขภาวะ แต่แฝงด้วยคำว่า ‘Wheel’ หรือ ‘ล้อ’ เพื่อสะท้อนตัวตนของไรเดอร์อย่างชัดเจน โปรแกรมนี้ช่วยมอนิเตอร์พฤติกรรมสุขภาพของสมาชิก และให้คำแนะนำออนไลน์อย่างต่อเนื่อง”ซึ่งโครงการ Healthy Rider ดำเนินงานมาแล้วประมาณ 1 ปี และปัจจุบันมีไรเดอร์เข้าร่วมกว่า 1,800 คน จากเป้าหมาย 3,000 คน และมีแผนขยายสู่ระดับประเทศร่วมกับกระทรวงสาธารณสุข

เครือข่ายชุมชนไรเดอร์และสมาคมไรเดอร์ คือหัวใจสำคัญของการขับเคลื่อน Healthy Rider

อ.พงษ์ศักดิ์ กล่าวว่าถึงแม้ทางทีมผู้ดูแลโครงการ Healthy Rider จะทำหน้าที่ช่วยผลักดันส่วนต่างๆ แต่แรงสำคัญของโครงการคือ “สมาคมไรเดอร์” ที่เป็นเครือข่ายหลักในการประสานกับไรเดอร์ทั่วประเทศ ทั้งกลุ่มที่จดทะเบียนและไม่จดทะเบียน

“เราทำงานกับสมาคมไรเดอร์แห่งประเทศไทย ให้พวกเขาไปสอบถาม ไปคุยกันเองในกลุ่มไรเดอร์ที่น่าจะเข้าใจกันและกัน ซึ่งหลังจากเก็บข้อมูลสุขภาพแล้ว ยังได้มีการสร้างชุมชนไรเดอร์ เช่น การรวมกลุ่มย่อย ‘กลุ่มอ้วนลงพุง’ ‘กลุ่มไรเดอร์ผู้หญิง’ เพื่อซัพพอร์ตและให้คำปรึกษากันเอง และทำงานร่วมกับแพลตฟอร์มบริษัทต้นสังกัด เพื่อสร้างเครือข่ายการตระหนักรู้สุขภาพ และผลักดันสิทธิสุขภาพ”

สมาคมไรเดอร์ทำหน้าที่ทั้งเรียกร้องสิทธิจากแพลตฟอร์ม ประสานกับภาครัฐ และเผยแพร่ความรู้ให้ไรเดอร์มีทักษะดูแลสุขภาพและสิทธิแรงงานของตนเอง

“สมาคมฯ ไม่ใช่แค่ตัวแทนเรียกร้อง แต่ยังเป็นศูนย์กลางของความรู้และการรวมพลัง” อาจารย์พงษ์ศักดิ์อธิบาย “พวกเขาอยู่กับเราในทุกขั้นตอน ตั้งแต่เก็บข้อมูล จัดกิจกรรม ไปจนถึงผลักดันนโยบาย”

ทุกปี Healthy Rider จะจัดกิจกรรมพบปะไรเดอร์ในต่างจังหวัด เช่น เปลี่ยนถ่ายน้ำมันเครื่องฟรี ตรวจสุขภาพเบื้องต้น และอบรมความรู้พื้นฐาน เพื่อให้แม้ในพื้นที่ที่ไม่ใช่เป้าหมายหลัก ก็ยังได้มีส่วนร่วมอย่างน้อยปีละครั้ง

ผู้หญิง-คนพิการ-ไรเดอร์ ต้องสร้างระบบให้เท่ากัน

ไรเดอร์ไม่ได้มีแค่ผู้ชาย อ.พงษ์ศักดิ์กล่าวว่าจากข้อมูลภาคสนามพบว่า ‘ไรเดอร์หญิง’ มีจำนวนเพิ่มขึ้นอย่างเห็นได้ชัดในช่วงหลัง โดยเฉพาะในเมืองใหญ่ หลายคนเลือกอาชีพนี้เพราะอิสระและยืดหยุ่นต่อภาระครอบครัว แต่ก็ต้องแลกกับปัญหาสุขภาพเฉพาะตัว เช่น ภาวะกระเพาะปัสสาวะอักเสบจากการหาห้องน้ำยาก หรือความเครียดสะสมจากแรงกดดันทางอารมณ์

“บางคนยังทำงานขณะตั้งครรภ์ หรือมีลูกเล็กติดรถมาด้วย เพราะเขาไม่มีทางเลือกอื่น” อาจารย์เล่าต่อว่า
ยังมีไรเดอร์ที่มีความพิการแต่ยังขับขี่ได้ เช่น แขนลีบ หูหนวก หรือสายตาบอดข้างหนึ่ง

“เราพบหลายคนที่แม้มีข้อจำกัดทางกาย ก็ยังทำงานอย่างเข้มแข็ง มันสะท้อนว่าความจำเป็นทางเศรษฐกิจผลักให้เขาต้องสู้ต่อ และเราจำเป็นต้องมีกลไกดูแลพวกเขาให้ดีขึ้น”

ในมุมของอ.พงษ์ศักดิ์ มองว่าการทำให้ไรเดอร์ตระหนักถึงสุขภาพเป็นเรื่องที่ดี เพราะส่งผลทำให้เห็นถึงมิติอื่นๆ ในกลุ่มคนที่ต้องถูกใส่ใจสุขภาพไปพร้อมกัน

จากข้อมูลสู่ข้อเสนอเชิงนโยบายเพื่อซัพพอร์ตไรเดอร์

หลังจากดำเนินโครงการมาระยะหนึ่ง โครงการ Healthy Rider เริ่มรวบรวมข้อมูลเพื่อเสนอ “ชุดสิทธิประโยชน์เฉพาะสำหรับแรงงานสองล้อ” ให้ไรเดอร์สามารถเข้าตรวจสุขภาพได้โดยไม่ต้องรอแพทย์วินิจฉัย โดยเฉพาะด้าน “ปอด ตา และหู” ซึ่งเป็นอวัยวะสำคัญของอาชีพขับขี่

“เรากำลังผลักดันสิทธิประโยชน์การตรวจสุขภาพสำหรับแรงงานสองล้อ เช่น ตรวจปอด, ตา, หู โดยไม่ต้องรอหมอวินิจฉัยว่ามีปัญหาแล้วค่อยรักษา หรืออยากทำงานครอบคลุมทั้งไรเดอร์และวินมอเตอร์ไซค์ไปพร้อมกัน เพราะ ไรเดอร์คือ “คนที่แบกรับความเสี่ยงแทนเรา” หากไรเดอร์มีสุขภาพดี สังคมและเศรษฐกิจได้ประโยชน์ร่วมกัน ร้านค้ามีรายได้เพิ่ม ลูกค้าได้บริการสะดวกและปลอดภัย ไรเดอร์มีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น”
ในตอนท้าย เมื่อถามอ.พงษ์ศักดิ์ว่า ทำไมคนในสังคมต้องใส่ใจถึงสุขภาพไรเดอร์ อ.พงษ์ศักดิ์ตอบว่า “ถ้าไรเดอร์คนหนึ่งสุขภาพดี สังคมก็จะดีขึ้น”

โดยอธิบายว่า ไรเดอร์คือคนที่แบกรับความเสี่ยงแทนเรา พวกเขาเดินทางไปในพื้นที่ที่เราไม่อยากไป ฝ่าแดด ฝ่าฝน เพื่อให้เรามีอาหารหรือของใช้ถึงบ้าน เมื่อไรเดอร์มีสุขภาพดี พวกเขาจะปลอดภัยขึ้น และนั่นหมายถึงลูกค้า ร้านค้า และเศรษฐกิจโดยรวมก็ได้รับผลดีตามไปด้วย

“อย่ามองว่าเขาเป็นแค่คนส่งอาหาร เขาคือคนที่ทำให้ระบบเศรษฐกิจเล็กๆ ในเมืองยังหมุนได้ ร้านค้าขายได้ ลูกค้าอิ่มท้อง และสังคมไม่หยุดนิ่ง แม้ในวันที่เกิดวิกฤต”

ในสายตาของอ.พงษ์ศักดิ์ โครงการ Healthy Rider ไม่ได้เป็นเพียงนโยบายด้านสุขภาพ แต่คือขบวนการเล็กๆ ของความห่วงใย

“เมื่อเรายื่นมือเล็กๆ ไปดูแลคนที่ส่งอาหารให้เรา เราอาจไม่ได้แค่ช่วยเขาเท่านั้น แต่อาจกำลังช่วยให้ทั้งระบบสังคมหมุนต่อไปได้อย่างมีสุขภาวะยิ่งขึ้นและนั่นคือหัวใจของ Healthy Rider” อ.พงษ์ศักดิ์ทิ้งท้าย

Shares:
QR Code :
QR Code