“ยังไงก็มีบ้านให้กลับ” 12 ปีหลังการรื้อฟื้นประเพณีผู่ : รับลูกสาวม้งกลับบ้าน

“พี่ถูกสามีฉุดไปตั้งแต่อายุ 17 ปี ตอนนั้นไม่เข้าใจเลยว่าทำไมต้องมีประเพณีแบบนี้” 

แน่งน้อย แซ่เซ่ง ประธานเครือข่ายสตรีชนเผ่าพื้นเมืองแห่งประเทศไทย เล่าความหลังกว่า 40 ปีให้ฟังในวันนี้ที่อายุ 60 ปีแล้ว 

ประเพณีฉุดที่แน่งน้อยพูดถึงคือหนึ่งในประเพณีของชาติพันธุ์ม้ง ซึ่งตอนนี้ทั้ง 18 ตระกูลแซ่ของม้งทั่วไทยแทบไม่มีประเพณีนี้แล้ว 

เล่าโดยย่อ 43 ปีก่อน แน่งน้อยเกิดตั้งท้องกับแฟนที่คบกันมา 4-5 ปี และถูกฉุดไปที่บ้านฝ่ายชายโดยการอุ้มขึ้นรถ พอไปถึงบ้านก็พบว่าเขามีเมียอยู่แล้ว 1 คน 

“เขา(สามี) บอกคนที่หนึ่งว่าไม่ต้องทำร้าย ไม่ต้องตบตี เราคุยกันดีๆ นะคือเขาตกลงกับเมียเขาแล้วไงว่าเขาจะมาเอาพี่ไป ความรู้สึกตอนนั้น คือ ไม่เป็นไรในเมื่อเราท้องก็มาอยู่ตรงนี้ก่อน ให้เราออกเดือนก่อนแล้วก็เราค่อยกลับไปหาพ่อแม่ ม้งถือว่าจะไปคลอดลูกในบ้านพ่อแม่ไม่ได้ จะผิดกฎจารีตผิดผี” 

แน่งน้อยอุ้มลูกคนแรกเดินเท้ากลับบ้านไปหาพ่อแม่ราวๆ 50 กิโลเมตร ใช้เวลา 1 วันเต็ม ก่อนจะพบว่าพ่อแม่ไม่ให้กลับมา 

“พ่อแม่ไม่ให้อยู่ เขาก็ถามว่าสามีทุบตีไหมทำร้ายไหม เราก็บอกว่าไม่ได้ตี ไม่ได้ด่า พ่อแม่ก็ให้เรากลับบ้าน วันรุ่งขึ้นสามีขับรถมาตาม พ่อแม่บอกว่าเมื่อเขาไม่ได้ทำร้ายเราเนี่ยเราก็ต้องกลับไป” 

นั่นเป็นเหตุการณ์แรกที่แน่งน้อยตั้งคำถามกับตัวเองว่า “ทำไมลูกสาวถึงไม่ได้กลับบ้าน” 

การกลับมาของ ‘ผู่’

12 ปีที่แล้ว แน่งน้อยหย่ากับสามีแล้ว หลังจากรอให้ลูกทุกคนเติบโตและดูแลตัวเองได้ และเธอก็ได้เป็นส่วนหนึ่งของการรื้อฟื้น ‘ผู่’ หรือ รับลูกสาวกลับบ้าน ผ่าน โครงการ ‘รับลูกสาวกลับบ้าน’ หรือ ‘โครงการฟื้นฟูกฎจารีตและแก้ไขปัญหาความรุนแรงเพื่อสร้างความเป็นธรรมให้กับผู้หญิงและเด็กชาวม้ง’ ที่แผนงานสุขภาวะผู้หญิงฯ ดำเนินการร่วมกับเครือข่ายสตรีม้งในประเทศไทย โดยได้รับการสนับสนุนจากสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.)

“การหย่าในสังคมม้งยากมาก เพราะผู้หญิงจะเสียเปรียบ เราต้องจ่ายค่าปรับให้ชุมชนทั้งหมด แต่พี่ใช้ความรู้ด้านสิทธิสตรีมาคุยกับผู้ใหญ่บ้านจนสามารถหย่าได้โดยจ่ายแค่ไก่หนึ่งตัวกับเหล้าหนึ่งขวด”

จริงๆ ประเพณีผู่มีมานานแล้วแต่หายไป บางตระกูลยังใช้แต่ไม่เปิดเผย บางบ้านรับลูกสาวกลับมาเงียบๆ แน่งน้อยเปรียบเทียบว่าเป็นเหมือนพิธีเรียกขวัญกลับบ้าน แต่ถ้าลูกสาวเกิดป่วยและเสียชีวิตขึ้นมา พ่อแม่ก็ยังไม่กล้าเอาร่างเข้าบ้านอยู่ดี

“พอแต่งงานไปก็เหมือนย้ายทะเบียนบ้าน ความเชื่อเดิมที่ว่าผู้หญิงที่หย่ากลับบ้านแล้ว จะไม่มีที่อยู่ เร่ร่อนไปเรื่อยๆ เมื่อตายไป ทำให้ต้องทนทุกข์อยู่กับสามี บางคนก็ฆ่าตัวตาย เพราะไม่รู้ว่าตัวเองมีทางเลือกอื่นหรือถ้าหย่าก็ต้องหาสามีใหม่ บางคนยอมไปเป็นเมียน้อยเพื่อจะได้มีที่พึ่ง”

รื้อฟื้นเพื่อดึงคุณค่าของลูกสาวกลับมา

โครงการรับลูกสาวกลับบ้านมุ่งทำความเข้าใจกับครอบครัวชาวม้งใน 13 จังหวัดภาคเหนือว่าลูกสาวไม่ใช่เพียงผู้มาเยือน แต่เป็นคนในครอบครัว หากสะใภ้ม้งประสบปัญหาจนไม่สามารถอยู่กับครอบครัวสามีได้ พวกเธอยังสามารถกลับคืนสู่ครอบครัวเดิมได้ รวมถึงให้ความสำคัญกับการทำงานร่วมกับผู้นำในชุมชนให้เริ่มมองเห็นชีวิตและความเป็นมนุษย์ของผู้หญิงม้ง จนผู้นำหลายๆ คนมองเห็นว่า ความเชื่อเดิมที่ถูกส่งต่อมายาวนานจำเป็นต้องปรับเปลี่ยน

การรื้อฟื้นประเพณีผู่จึงไม่ใช่ ไม่ใช่แค่การกลับมาทำพิธีกรรม แต่เป็นการคืนศักดิ์ศรีและคุณค่าให้ผู้หญิงม้งในชุมชน

“เป้าหมายของเราคือต้องการให้ผู้หญิงกลับมาสู่อ้อมกอดพ่อแม่ด้วยความรักโดยไม่ต้องมีน้ำตาแล้ว ไม่ต้องกลัวว่ากลับมาแล้วจะไม่มีที่อยู่ พ่อแม่จะไม่รับ พิธีกรรมที่รื้อฟื้น ต้องการให้ผู้หญิงกลับมาด้วยความภาคภูมิใจว่าฉันน่ะกลับมาเป็นลูกสาวพ่อแม่เหมือนเดิมแล้ว”

ในช่วงต้น แน่งน้อยบอกว่าเงินทุนสนับสนุนจากโครงการฯ ถูกนำไปใช้ในขั้นตอนต่างๆ ตั้งแต่การประสานงานกับผู้ใหญ่ในชุมชน การช่วยเหลือค่าใช้จ่ายสำหรับผู้หญิงที่หย่าร้างที่ไม่มีเงินทำพิธี ไปจนถึงค่าเดินทางเพื่อติดตามชีวิตหลังจากเข้าร่วมพิธีแล้ว

“ถึงแม้เงินทุนจะหมดไปแล้ว แต่เราก็เริ่มต้นและวางรากฐานบางอย่างที่สืบเนื่องมาจนถึงวันนี้ ทุกวันนี้ผู้หญิงที่หย่าร้างสามารถกลับบ้านได้โดยไม่ต้องกลัวแล้ว อย่างในบางตระกูล เช่น แซ่มัว และแซ่ว่าง ที่นำพิธีนี้มาใช้กันทั้งโลก ทำให้ผู้หญิงที่หย่าร้างสามารถดูแลพ่อแม่ได้ ซึ่งแตกต่างจากในอดีตที่ผู้หญิงมักจะเอาตัวรอดคนเดียว”

การรื้อฟื้นประเพณีนี้ยังส่งผลกระทบในวงกว้าง ทำให้ผู้ชายในชุมชนเริ่มให้ความเกรงใจและเคารพผู้หญิงมากขึ้น ส่งผลให้ปัญหาความรุนแรงในครอบครัวลดลงอย่างชัดเจน และครอบครัวมีความสุขมากขึ้น
การได้กลับมาเป็นลูกสาวของบ้านอีกครั้ง ส่งผลต่อพ่อแม่ด้วย

“พ่อกับแม่เนี่ยเขาก็รักลูกสาวของเขามาก แต่แคร์เรื่องตระกูลเขาก็เลยไม่กล้าอ้าปาก ลึกๆ แล้วพอลูกกลับมา เขาก็ดีใจมากแล้วลูกสาวก็ดีใจว่าฉันยังเป็นลูกสาวตระกูลนี้อยู่นะ”

เปรียบเทียบกับตอนที่ยังไม่มีการรื้อฟื้นพิธี แน่งน้อยเล่า ลูกสาวจะไม่ได้ดูแลพ่อแม่เลย แต่ตอนนี้ลูกสาวกลับมาเป็นฝ่ายดูแลพ่อแม่ ทุกคนในครอบครัวดีใจมาก
และสถิติการเป็นเมียน้อยลดลงอย่างมาก เพราะสะใภ้ที่ตัดสินใจหย่ามีบ้านให้กลับและพ่อแม่เองก็มั่นใจว่าเมื่อลูกสาวผ่านพิธีผู่แล้วบรรพชนที่ล่วงลับไปก็นับกลับมาเป็นแซ่เดียวกันเหมือนเดิม

นับตั้งแต่รื้อฟื้นมามีลูกสาวม้งเข้าพิธีผู่ 200-300 คนแล้ว ยังไม่รวมช่วงที่โครงการฯ ยังดำเนินอยู่ มีผู้นำสตรีม้งจากประเทศเพื่อนบ้าน ได้แก่ ลาว เวียดนาม และจีน และผู้นำสตรีชาวม้งอพยพในสหรัฐอเมริกา ที่ทราบข่าวเกี่ยวกับการฟื้นฟูพิธีรับลูกสาวกลับบ้านในประเทศไทย จึงติดต่อมายังเครือข่ายสตรีม้งในประเทศไทยขอมาศึกษาดูงานและเรียนรู้แนวคิดการสร้างการเปลี่ยนแปลงดังกล่าว โดยมีเป้าหมายที่จะนำไปประยุกต์ใช้กับชุมชนม้งในประเทศของตนด้วย

การมีบ้านให้กลับ ไม่เพียงส่งผลทางใจต่อครอบครัวแต่เมื่อเวลาเปลี่ยนไป ผู้หญิงม้งได้รับการศึกษา มีหน้าที่การงานเลี้ยงตัวเองและครอบครัวได้ การเลิกราแล้วกลับไปใช้แซ่เดิมได้ ส่งผลดีอีกหลายด้าน โดยเฉพาะเศรษฐกิจ

“เดิมหลายคนต้องเปลี่ยนศาสนา บางคนมีบ้านมีไร่มีสวนก็ต้องขายแล้วย้ายไปอยู่ในเมือง หรือรายที่เป็นข้าราชการก็ต้องทำเรื่องย้าย ไม่กลับมาอยู่ชุมชน เพราะกลับบ้านพ่อแม่ไม่ได้ แต่พอมีพิธีผู่ เขาหย่าเสร็จก็ไม่ต้องย้ายไปไหน อยู่ทำงานในบ้านของเขา หลายคนมีความสามารถ บางคนเก่งเรื่องการพัฒนาก็มาพัฒนาชุมชนตัวเอง”

มันจึงไม่ได้เป็นเรื่องแค่เลี้ยงตัวเอง เลี้ยงครอบครัว แต่ผู้หญิงม้งที่หย่าแล้วก็กลับมาอยู่และพัฒนา มีตัวตนและมีคุณค่าสำหรับชุมชนในปัจจุบัน

พิธีผู่ทำให้การหย่าร้างมากขึ้น?


จนถึงปัจจุบัน แน่งน้อยยอมรับว่ากำลังสำคัญที่มีส่วนช่วยเริ่มต้น ผลักดัน และขับเคลื่อนให้พิธีผู่ ดำเนินมาจนถึงทุกวันนี้แม้โครงการฯ จะปิดตัวไปแล้ว คือ ผู้ชายในชุมชนม้ง

“เขามาหนุนเสริมเราเพราะว่าผู้หญิงม้งแล้วพูดอะไร แรกๆ ชุมชนจะไม่ค่อยเชื่อ เราต้องฝากผ่านผู้นำที่เป็นผู้ชายไปช่วยประสานไปช่วยคุย ผู้นำบางคนมีลูกสาวที่หย่าแล้ว บางคนนับถือศาสนาคริสต์แต่อยากเข้ามาช่วยเหลือเรา อีกหลายคนเป็นผู้เฒ่าผู้แก่ที่เขาอยากจะถ่ายทอดเรื่องนี้ให้ม้งรู้ว่ายังมีอยู่นะ”

อีกการเปลี่ยนแปลงที่ตามมาแบบค่อยเป็นค่อยไปคือ การใช้ความรุนแรงในครอบครัวลดน้อยลง

“เมื่อผู้หญิงมีสิทธิกลับบ้าน ผู้ชายก็เริ่มเกรงใจ ทำร้ายร่างกายและจิตใจน้อยลง รวมถึงการนอกใจด้วย ครอบครัวดูมีความสุขมากขึ้น อันนี้สังเกตจากพื้นทีที่ไปทำงาน”

อีกคำถามที่แน่งน้อยเจอบ่อยมากคือ พิธีผู่จะทำให้การหย่าร้างมากขึ้นไหม

“เขาบอกว่าไม่มีผู้หญิงคนไหนหรอกที่อยากจะหย่าถ้าครอบครัวอบอุ่น ใครมาฉุดฉันก็ไม่ไป ฉันก็จะอยู่กับสามี”

แต่คนที่ลงเอยด้วยการหย่า อย่างน้อยการมีอยู่ของพิธีนี้ก็เป็นการบอกเขาว่า อย่างไรก็ยังมีบ้านให้กลับ

ไม่มีการกินยาหรือผูกคอฆ่าตัวตาย ไม่มีการหนีแบบหายสาบสูญเหมือนเมื่อก่อน

“กลับมาเห็นคุณค่าในตัวเอง โดยไม่จำเป็นต้องมาพึ่งพาคุณค่าของสามี เพราะรู้ว่าตัวเองก็มีคุณค่า”

และสำหรับลูกสาวที่กลับบ้านมาพร้อมกับลูกตัวเล็ก แน่งน้อยบอกว่า

“ถ้าเราสามารถกลับมาอยู่บ้านได้อย่างภาคภูมิใจ ลูกๆ ก็จะได้เรียนรู้ว่าความสุขและคุณค่าขึ้นอยู่กับตัวเอง ไม่ได้ขึ้นอยู่กับคนอื่น” แน่งน้อยทิ้งท้าย

Shares:
QR Code :
QR Code