เรามีกำแพงในหัวใจไม่ใช่เรื่องผิด : ทะลุกำแพงอคติระหว่างวัย ผ่านกิจกรรม เรา ‘ต่าง’ เหมือนกัน
ถ้าเรามีชุดความคิดที่ว่า “มนุษย์ป้าชอบยุ่งเรื่องของชาวบ้าน” “เด็กเจนซีก้าวร้าวไม่เคารพผู้ใหญ่” หรือแม้แต่ “วัยคุณยายชอบเชื่อข่าวปลอมเพราะไม่ค่อยเท่าทันโลก”
“การที่เรามีกำแพงในหัวใจไม่ผิดเลย” ประโยคนี้เป็นส่วนหนึ่งของ เวิร์กช็อป “เรา ‘ต่าง’ เหมือนกัน” ในงานประชุมวิชาการและแลกเปลี่ยนเรียนรู้ เสียงที่คนอื่นไม่ได้ยิน : ประชากรกลุ่มเฉพาะ ครั้งที่ 3 (3rd Voice of the voiceless : the vulnerable populations) เมื่อวันที่ 18 มิถุนายน 2568 ณ อิมแพ็ค ฟอรั่ม เมืองทองธานี โดยมี มะขวัญ – วิภาดา แหวนเพชร ผู้สอนวิชาแห่งความสุข จากสถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง มากว่า 8 ปี รับหน้าที่เป็นผู้ดำเนินกิจกรรม
รายงานจากองค์การอนามัยโลก (WHO) เผยว่า ประเทศในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ อย่างไทย มาเลเซีย และฟิลิปปินส์ มีการเพิ่มขึ้นของอคติระหว่างวัย หรือ วยาคติ (Ageism) ที่สูงติดอันดับโลก ซึ่งนำไปสู่ความลำเอียงและการเลือกปฏิบัติสูงขึ้น
วยาคติ คือ การอคติและการเลือกปฏิบัติต่อบุคคลโดยมีอายุเป็นปัจจัย เกิดขึ้นจากความเชื่อ ทัศนคติ ค่านิยม หรือบรรทัดฐานในทางลบที่มีต่อคนบางกลุ่มอายุ
เรา ‘ต่าง’ เหมือนกันเป็น จึงเป็นกิจกรรมที่เปิดพื้นที่ให้กับทุกความต่าง ทั้งต่างเจเนอเรชัน ต่างเพศ ต่างเชื้อชาติ ต่างศาสนา ต่างที่มา ต่างความคิดและความรู้สึก เพื่อเปิดโอกาสให้ทุกคนได้ลองเปิดใจสำรวจ ‘ตัวเอง’ และคน ‘ต่างวัย’ ให้ลึกลงไปกว่าที่ตามองเห็น
แม้เหมือนกัน แต่ก็ต่างกัน
‘คุณคิดว่าคน Gen Z ชอบถูกสารภาพรักด้วยวิธีใด ข้อ 1… ข้อ 2 ข้อ 3 หรือ ข้อ 4’ กิจกรรมแรกของเวิร์กช็อปมีชื่อว่า ‘ต่างเจนเดาใจ’ โดยให้ผู้เข้าร่วมจับกลุ่มคละ Gen แล้วร่วมตอบคำถาม และลองเดาใจความชอบ ความเชื่อ ลักษณะนิสัยของคนต่างวัย ทั้งนี้คำตอบก็มาจากตัวแทนภายในห้องนั่นเอง
“หนูคิดว่าข้อนี้จะตอบอะไร” ผู้ร่วมกิจกรรมแปะป้าย Gen X หันมาถามผู้ร่วมกิจกรรมคนอื่นๆ ในกลุ่มนอกจากให้ความสนุก และละลายพฤติกรรมของผู้เข้าร่วมกิจกรรมแล้ว กิจกรรมนี้ยังเป็นบันไดขั้นแรกสู่การทำให้ผู้เข้าร่วมเห็นอคติในการตัดสินผู้อื่นของตนเอง
เพราะบางข้อที่ตอบไปนั้น อาจจะผิดจากที่คิดไว้ก็ได้ อย่างเช่นคำถามที่ว่า “คน Gen Y ชอบเสพสื่ออะไร” แล้วคนส่วนใหญ่ตอบว่าสื่อออนไลน์ ซึ่งจริงๆ แล้วคำตอบจากตัวแทนที่เลือกมานั้นตอบว่า ‘วิทยุและพอดแคสต์’
มะขวัญ ผู้ดำเนินกิจกรรม กล่าวว่า “ไม่ใช่เรื่องแปลกถ้าคำตอบจะไม่เหมือนที่เราคิด หรือคำตอบของคนนั้นๆ ไม่ได้ตรงใจกับคน Gen เดียวกันไปหมด เพราะทุกคนมีประสบการณ์ การรับรู้ที่แตกต่างกัน ดังนั้นเราจะเหมารวมกันไม่ได้”
การรู้เท่าทันกำแพงในใจ
ถัดมาคือกิจกรรม Wall and Window กำแพงและหน้าต่างในการมองเห็น ที่จะชวนสำรวจและเท่าทันอคติในการตัดสินผู้อื่น รวมถึงชวนตระหนักรู้วิธีการเปิดใจต่อผู้อื่น
ซึ่งมะขวัญบอกว่าการที่ทุกคนมีกำแพงหรืออคติในใจไม่ใช่เรื่องผิดแต่อย่างใด เพราะทุกคนล้วนมีข้อจำกัด มีบาดแผล ประสบการณ์ และความเฉพาะในตัวเอง สิ่งสำคัญที่สุดคือการรู้เท่าทันตัวเองว่าเรามีกำแพง และค่อยๆ หาทางเยียวยาดูแลใจเรามากกว่า
การรู้เท่าทันกำแพง ที่มะขวัญพูดถึงคือการเขียนอคติที่ต่อคนกลุ่มต่างๆ ในหน้ากระดาษฝั่งกำแพง (Wall) และ เขียนสิ่งที่เป็นไปได้ในกระดาษฝั่งหน้าต่าง (Window) สิ่งนี้จะช่วยให้เราได้ลองมองมุมใหม่ๆ
“หากเรายังมองคนๆ นั้นจากมุมเดิม เห็นเขาแบบเดิมๆ เราก็จะเปลี่ยนอะไรไม่ได้เลยแต่ถ้าเราลองมองเขาใหม่ จากมุมที่ต่างออกไป มองเขาในฐานะมนุษย์คนหนึ่ง แล้วเปิดใจทำความรู้จักเขาอีกครั้ง แม้ว่ากำแพงระหว่างเรายังอยู่ แต่แค่เรารู้เท่าทันกำแพงนั้น มันก็อาจเป็นจุดเริ่มต้นของการค้นพบ ‘หน้าต่าง’ ที่จะพาเราไปสู่ทางออกได้” มะขวัญอธิบาย
ฟังเพื่อเข้าใจความเหมือนในความแตกต่างหลากหลาย
ถัดไป คือ Hear the Iceberg กิจกรรมชวนสัมผัสการฟังด้วยใจ ให้ลงลึกไปถึงภูเขาน้ำแข็งในใจผู้คน คือการฟังความรู้สึก และฟังความต้องการในหัวใจ เพื่อเข้าใจความเหมือนในความแตกต่างหลากหลาย
หนึ่งในผู้เข้าร่วมแชร์ความรู้สึกว่า “การเปิดใจรับฟังกันมันทำให้เรารู้ว่าชีวิตเขามีเรื่องอะไรเยอะมาก จนกระทั่งถึงตอนสุดท้ายที่ให้สื่อสารกันโดยไม่ต้องใช้คำพูด มันทำให้เรารู้สึกว่าเราเข้าใจในสิ่งที่เขาต้องการสื่อสารได้โดยที่เขาไม่ได้พูดออกมา”
การรับฟังก่อนด่วนตัดสินเป็นทักษะหนึ่งที่คนเราสามารถลดอคติต่อกันได้ เพราะการรับฟังกันสามารถส่งต่อความเข้าใจต่อสิ่งหนึ่งให้ลึกซึ้งมากขึ้น และเป็นประตูที่ทำให้เราลดภาพจำ มายาคติ หรืออคติต่อสิ่งนั้นได้
เช่นเดียวกับที่ ‘ผศ.สกล โสภิตอาชาศักดิ์’ อาจารย์ประจำคณะวิทยาการเรียนรู้และศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ หัวหน้าคณะศึกษา รายงานวิจัยโครงการสร้างสังคม DEE (Diversity, Equity and Empathy): ศึกษาสถานการณ์อคติต่อกลุ่มเปราะบางและสื่อสารเพื่อสร้างความตระหนักรู้ของสังคม (หรือ โครงการสร้างสังคม DEE) สำนักสนับสนุนสุขภาวะประชากรกลุ่มเฉพาะ (สำนัก 9) กล่าวว่า
“การสร้างสังคมที่คนมาปฏิสัมพันธ์กันมากขึ้น มันจะช่วยลดอคติลงได้ ปฏิสัมพันธ์ในที่นี้ไม่ใช่แค่การเดินผ่านกันนะ แต่มันคือคุยกัน รู้จักกัน”
สุดท้ายแล้ว ‘ความต่าง’ ไม่ใช่เรื่องน่ากลัว ไม่ว่าจะเป็นความต่างของวัย เพศ เชื้อชาติ ศาสนา หรือบทบาททางสังคม ขอแค่ถ้าเรารู้เท่าทัน มองมุมใหม่ และรับฟังกันมากขึ้น เพราะสุดท้ายแล้วเราทุกคนก็ต่างต้องการการถูกมองเห็น ยอมรับ และความเคารพในความเป็นตัวเอง ไม่ว่าเราเลือกที่จะเป็นใคร หรือคิดเห็นอย่างไร ตราบเท่าที่ความคิด ความต้องการเหล่านั้นไม่ได้เป็นการสร้างความเดือดร้อนให้คนอื่น