กว่าจะถูกยอมรับ ก็ ‘สูงวัย’ ไปแล้ว : ฟังเสียง LGBTIQNA+ สูงวัยที่ตอนเด็กถูกปฏิเสธตัวตนแต่ยืนยันว่า “เกิดชาติหน้า เราก็ยังอยากเป็นเกย์”
1 ใน 3 ของกลุ่มเป้าหมายที่เป็น LGBTIQNA+ สูงวัย มีรายได้รวมน้อยกว่า 40,000 บาทต่อปี ซึ่งใกล้เคียงกับเส้นแบ่งความยากจนของประเทศไทย สิ่งนี้ส่งผลให้ผู้สูงวัยหลายคนยังต้องทำงานถึงแม้จะเกษียณอายุแล้ว
นี่คือข้อมูลจากงานวิจัยโครงการการศึกษาสถานการณ์สุขภาวะทางเพศ สุขภาพจิต และความสัมพันธ์ของกลุ่มประชากรสูงอายุที่มีความหลากหลายทางเพศ (LGBTIQNA+) ในประเทศไทย
“จากกลุ่มตัวอย่างที่เราเข้าไปคุยด้วย มีบางส่วนที่ไม่รอด หมายถึง กลุ่มคนที่ต่อสู้เพื่อสิทธิของตัวเอง แล้วเขาโดนผลกระทบที่แย่มากๆ เช่น ถูกไล่ออกจากงาน ไล่ออกจากบ้าน คนรอบข้างไม่ยอมรับ พวกเขาสูญเสียแหล่งยึดเหนี่ยวและคุณค่าความเป็นมนุษย์จากการมีงานทำ มีครอบครัว แบบนี้น่ากังวลนะ”
เสียงจาก ‘อ.แต้ว’ รศ.ดร.ฐิติกาญจน์ อัศตรกุล หนึ่งในคณะผู้วิจัยของโครงการนี้ กว่าจะมาจุดนี้ได้ ผู้สูงวัยที่มีความหลากหลายทางเพศหลายคนเจอผลกระทบจากการต่อสู้มากมาย บางรายถูกไล่ออกจากงานในช่วงวัยทำงาน เพราะเป็น LGBTIQNA+
งานวิจัยชิ้นนี้นำไปสู่วงสนทนา “60 ยังเสว” ความท้าทายด้านการส่งเสริมสุขภาวะของผู้สูงอายุที่มีความหลากหลายทางเพศ วงเสวนานี้พูดถึงความเป็นอยู่ของ LGBTQINA+ สูงวัยและเรื่องไหนบ้างที่ควรผลักดันกันต่อ นี่เป็นส่วนหนึ่งของกิจกรรมภายในงาน เกิด แก่ เจ็บ โต ในเทศกาล Bangkok Pride 2025 เมื่อวันที่ 30 พ.ค. ที่ผ่านมา ซึ่งจัดขึ้นโดย Bangkok Pride กรมกิจการสตรีและสถาบันครอบครัว มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ และสำนักสนับสนุนสุขภาวะประชากรกลุ่มเฉพาะ (สำนัก 9)
นอกจากจะอยู่ในงานวิจัยแล้ว เรื่องราวของพวกเขายังปรากฏอยู่ในหนังสือ ‘เศษเสี้ยวที่ยังคงเหลืออยู่-เสียงจากกลุ่มผู้มีความหลากหลายทางเพศรุ่นใหญ่’ นำเสนอเรื่องราวในวัยเยาว์ของ LGBTIQNA+ สูงวัยในปัจจุบัน ไม่ว่าจะเป็นเรื่องทุกข์ สุข ความสัมพันธ์ และการต่อสู้เพื่อสิทธิที่ทำกันมาอย่างยาวนาน หนังสือเล่มนี้จัดทำโดย โครงการการศึกษาสถานการณ์สุขภาวะทางเพศ สุขภาพจิต และความสัมพันธ์ของกลุ่มประชากรสูงอายุที่มีความหลากหลายทางเพศในประเทศไทย สนับสนุนโดย สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.)
เรื่องราวในอดีตส่งผลมาถึงปัจจุบัน เมื่อตอนวัยทำงานไม่มีงาน ก็ไม่มีรายได้มากพอ นั่นหมายความว่าตอนอายุมากขึ้นก็จะมีเงินเก็บน้อยหรือแทบไม่มีเลย บทความนี้จึงอยากนำเสนอเรื่องราวของผู้สูงวัยที่เป็นกะเทย เกย์ และเลสเบี้ยน พวกเขาเผชิญกับอดีตที่โดนปฏิเสธตัวตนมาตลอด ซึ่งกว่าจะได้เป็นตัวเองแบบทุกวันนี้ได้ พวกเขาผ่านอะไรมาเยอะมาก
เพราะเป็นกะเทย จึงต้องพิสูจน์ตัวเอง
“วันนี้ยังไม่ได้ขายใครเลย เดี๋ยวค่อยมาซื้อเถอะ”
ถึงแม้ตอนนี้จะอายุ 50 แต่นี่คือคำพูดที่ ‘ปอ’ เจอในตอนเด็กและยังจำมันได้เสมอ ในสายตาของคนแถวบ้าน การมี ‘กะเทย’ แบบปอเข้ามาซื้อของจะถือว่าเป็นตัวซวย ถ้าปอซื้อของเป็นคนแรกของวัน ก็หมายความว่าวันนั้นจะขายไม่ได้ทั้งวัน
ย้อนไปเมื่อหลายสิบปีก่อนที่กลุ่มผู้มีความหลากหลายทางเพศยังถูกมองว่าเป็น ‘ตัวประหลาด’ ของสังคม
การใช้ชีวิตตามประสากะเทยเด็กของปอก็ไม่ได้ราบรื่นเท่าไหร่ ถึงแม้พ่อและแม่ของปอจะไม่ได้ขัดขวางการเป็นกะเทยของปอ แต่ดูเหมือนว่าชาวบ้านรอบๆ จะไม่พอใจเท่าไหร่ที่เห็นปอเป็นกะเทย
ปอเติบโตในหมู่บ้านเล็กๆ ในจังหวัดลำพูน เธอคือคนเดียวในหมู่บ้านที่เป็นกะเทย ปอเจอกับคำซุบซิบนินทา สายตาที่คอยมองแปลกๆ รวมไปถึงพ่อแม่ของปอเองก็ต้องคอยฟังคำถามแปลกๆ จากคนรอบตัวที่ว่า “เลี้ยงลูกยังไงให้เป็นกะเทย?”
เพราะคำดูถูกทำให้ปอพยายามถีบตัวเองให้สูงขึ้น อย่างน้อยก็เพื่อให้ไม่มีใครมาว่าพ่อและแม่ได้ ที่สำคัญก็คือการเรียนเก่ง เรียนดี จะส่งเสริมให้ปอได้มีโอกาสไปอยู่ที่อื่นที่เปิดรับความเป็นเพศหลากหลายของปอได้มากกว่าที่นี่ พอขึ้นมัธยมปอได้ย้ายไปเรียนโรงเรียนประจำอำเภอที่ใหญ่ขึ้น ทำให้เธอได้เจอสังคมที่กว้างขึ้นอีกด้วย
จนขึ้นปวช. ปอตัดสินใจไปเรียนที่เชียงใหม่ เธอชอบที่นี่เพราะมีอะไรให้ทำเยอะมาก ที่สำคัญคือที่นี่ไม่ค่อยปิดกั้นความหลากหลายทางเพศเหมือนในชุมชนเดิม
“เรารู้สึกว่าเราใช้ชีวิตของเราได้โดยที่ไม่ต้องเกรงใจใคร วัฒนธรรม ความเป็นอยู่ ความเชื่อก็เปิดกว้างกว่าที่บ้านมากๆ แล้วเราเป็นคนที่ไม่เหมือนชาวบ้าน คือชอบพูดตรงๆ”
ปอเดินสายประกวดนางงาม ประกวดร้องเพลง ทำงานให้มากขึ้นเพื่อให้ได้เงินมากขึ้น ขยันขนาดนี้ก็เพื่อเอาเงินมาดูแลตัวเองและจุนเจือครอบครัว ที่สำคัญคือเธอต้องลบคำสบประมาทของชาวบ้านที่ว่าเธอไว้ให้ได้
“พอเรามีอาชีพนางงาม เวลาแต่งหญิง พ่อแม่ก็ไม่ว่า อยากจะแต่งให้คนที่เคยว่าเห็น บางคนก็ชมว่าเราไปอยู่เชียงใหม่แล้วสวยขึ้น มีน้ำมีนวลขึ้น แต่คนไม่ชอบเราก็มี เราก็ไม่สนใจ”
การพัฒนาตัวเองของปอก็มีแต่จะผลักดันให้ปอและครอบครัวไปข้างหน้าได้ดีขึ้น ที่สำคัญคือปอเองก็ได้เป็นต้นแบบให้กับเด็กๆ ที่เป็นเหมือนปอด้วย เธอเล่าว่าเคยมีผู้ใหญ่ในหมู่บ้านไปเตือนเด็กที่อยากจะเป็นแบบปอว่า “จะไปเลียนแบบทำไม” ปรากฏเด็กๆ ตอบว่า เป็นแบบปอแล้วเสียหายตรงไหน ในเมื่อปอมีทั้งงาน มีรายได้ มีภาพลักษณ์ที่ดี แถมยังดูแลครอบครัวได้ พอเป็นแบบนี้คนที่เคยนินทาปอก็น้อยลง
ปัจจุบันปอในวัย 50 อยู่คนเดียวกับแมว มีเพื่อนประมาณ 3-5 คนไว้คอยเป็นที่ปรึกษา ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการเงินหรือเรื่องจิปาถะ ตอนนี้ปอทำงานพิธีกรอยู่บ้าง บางทีก็รับแต่งหน้าทำผม บางทีก็ปล่อยเช่าชุด แม้จะยังไม่มีเงินเก็บมากเท่าไหร่ แต่รายได้รวมๆ ก็ถือว่าสามารถอยู่ได้
แต่อนาคตเป็นสิ่งที่ไม่แน่นอน ปอก็ไม่แน่ใจว่าธุรกิจที่ตัวเองทำจะอยู่ได้นานอีกแค่ไหน อีกทั้งงานพิธีกรก็ไม่ได้มีบ่อยเสมอไป เนื่องจากบางงานก็มีข้อจำกัดว่า ‘รับแค่ผู้หญิง’ ยิ่งถ้าจะไปทำงานรับราชการ เป็นหมอ เป็นทหาร ยิ่งเป็นไปได้ยากเนื่องจากเธอยังอยากแต่งกายเป็นหญิงอยู่ ประกอบกับอายุตอนนี้ทำให้ไม่ว่าจะทำอะไรก็ดูมี ‘ข้อจำกัด’ ไปหมด
“เรากลัวมากว่าถ้าไปสมัครงานแล้วเขาตอบกลับว่า ‘ไม่รับ อายุเกิน’ หรือ ‘ไม่รับ รับแต่ผู้ชาย รับแต่ผู้หญิง’”
ตอนนี้ปอมองว่า แม้สมรสเท่าเทียมจะผ่านแล้ว อีกหนึ่งการขับเคลื่อนที่สำคัญเหมือนกันคือ ‘การรับรองเพศสภาพ’
“เราเจอคนเหยียดเราเยอะ เช่น เวลาไปนอนโรงพยาบาลเพื่อเฝ้าไข้เพื่อน เขาก็บอกว่าทำไมเอาผู้ชายมานอน (คำนำหน้าในบัตรประชาชนเป็นนาย) แบบนี้ทำให้เราอยากมีคำนำหน้าว่า ‘คุณ’ ก็พอ ไม่ต้องมีหรอก นาย นาง นางสาว”
กลมกลืนแต่ก็ยังไม่ใช่ส่วนหนึ่งของสังคม
การแต่งงานมักเป็นพิธีที่แสดงถึงความรักที่คู่บ่าวสาวมีให้ต่อกัน มีญาติและคนสนิทมามากมายมาร่วมยินดี ดูแล้วเป็นงานที่มีแต่ความสุข แต่ไม่ใช่ในงานแต่งงานของ ‘ภพ’
ภพเป็นคนมุกหาหารที่ย้ายมาอยู่ในกรุงเทพฯ เนื่องจากพ่อแม่ตัดสินใจเปลี่ยนจากอาชีพเกษตรกรมารับจ้างในโรงงานที่กรุงเทพฯ แทน ภพมีเพศกำเนิดเป็นชาย แต่เขากลับรู้สึกมาตลอดว่าใจของเขาไม่ใช่ผู้ชาย และเขาเองก็ไม่เหมือนผู้ชายคนอื่นๆ เลย
“สิ่งที่จำได้เลยคือเราเคยแอบชอบครูผู้ชาย มีความคิดว่า ‘ทำไมครูคนนี้หล่อจัง’ เลยเริ่มรู้แล้วว่าจิตใจของเราไม่ได้เหมือนเด็กผู้ชายคนอื่น แต่ไม่ได้แสดงออก”
ตอนเด็กๆ ภพอยู่ในกลุ่มเพื่อนที่มีแต่ผู้หญิง แต่ภพเองก็ยังระมัดระวังไม่ได้แสดงออกมากนักว่าตัวเองไม่ใช่ผู้ชาย พอโตขึ้นหน่อยก็มีโอกาสได้กลับไปบ้านที่มุกดาหาร สิ่งที่ภพมักจะเจอคือคำถามจากญาติๆ ว่า “มีเมียหรือยัง” “มีลูกกี่คนแล้ว”
คำตอบของคำถามเหล่านี้คือ ‘ไม่’ ไม่มีทั้งเมียและลูก แต่จะพูดตรงๆ ออกไปเลยภพก็กลัวว่าคนอื่นจะสงสัย เขาเลยได้แต่ตอบเลี่ยงๆ ว่า “มี แต่เลิกกันแล้ว” หรือไม่ก็ “ไม่มีหรอก เดี๋ยวจะบวช” คนถามอาจจะไม่ได้คิดอะไร แต่สำหรับคนตอบ ภพบอกว่าอึดอัดใจมาก
ภพบอกว่ารู้สึกเหมือนตัวเองเป็น ‘ตัวประหลาด’ ที่ตัวเองไม่เหมือนคนอื่น ไหนจะคำถามจากญาติๆ ที่คอยย้ำเตือนภพว่าถ้าไม่แต่งงาน ก็ไม่มีใครดูแล ภพจึงเริ่มมีความคิดที่อยากจะแต่งงาน
ภพเล่าว่าเคยเห็นคนที่เป็นเกย์เปลี่ยนเป็นผู้ชายเพราะการแต่งงาน เขามีความหวังเล็กๆ ว่าถ้าแต่งงานกับผู้หญิง ตัวเองจะกลับมาเป็นผู้ชาย และคงจะไม่เจอกับการตั้งคำถามกับสังคม ไม่ต้องเจอเรื่องอึดอัดใจแบบนี้อีก
แต่การฝืนตัวเอง ทั้งๆ ที่รู้อยู่แก่ใจว่าตัวเองเป็นอะไร ก็ทำให้การแต่งงานนี้จบลงที่การหย่า ภพบอกว่าคืนที่ต้องเข้าเรือนหอ เขาทำใจนอนกับผู้หญิงที่แต่งงานด้วยไม่ได้เลย แค่แตะตัวกันก็ยังทำไม่ได้ วินาทีนั้นเขารู้เลยว่า ใจของเขามันไม่ใช่ผู้ชายจริงๆ
ภพเล่าเรื่องนี้ด้วยความรู้สึกผิด เขารู้สึกแย่ที่ตัวเองพรากโอกาสของผู้หญิงคนหนึ่งไป ถ้าไม่ได้เจอกับภพผู้หญิงคนนั้นอาจจะได้เจอคนที่รักเธอจริงๆ และมีครอบครัวที่อบอุ่นโดยไม่ต้องมาเจอกับเรื่องราวแบบนี้
“ไม่รู้ว่าสมัยนั้นมีคนที่ตัดสินใจแบบนี้มากแค่ไหน ช่วงนั้นคือความสับสน เราอยากเริ่มต้นใหม่ อยากเป็นคนปกติ คิดว่าตัวเองน่าจะทำได้ แต่พอทำจริงแล้วทำไม่ได้”
หลังจากนั้นมาภพเข้าใจแล้วว่าเขาคงหลอกคนอื่นและตัวเองต่อไปไม่ได้ ภพตัดสินใจเลิกฟังเสียงคนรอบข้าง ฟังเสียงตัวเองก็พอ ในที่สุดเขาก็ได้เจอพื้นที่ที่มีคนเหมือนๆ กันกับเขา ทำให้เขารู้สึกว่าการเป็นเกย์ไม่ใช่เรื่องผิดปกติ
ภพทำงานเพื่อดูแลตัวเองและพึ่งพาตัวเองให้ได้มากที่สุด ไม่ว่าจะเป็น การทำงานเพื่อช่วยเหลือผู้ที่อยู่ร่วมกับเชื้อ HIV หรือเป็นนักวิจัย เพราะฉะนั้นภพจึงไม่เชื่อคำที่ใครต่างก็พูดว่า “ถ้าไม่มีลูก แล้วใครจะมาดูแล” ในเมื่อตัวเราเองสามารถดูแลตัวเองได้
ด้วยอายุที่มากขึ้นเลยวัยเกษียณ ถึงแม้ภพจะมีเงินใช้จ่ายแบบไม่ได้ลำบากอะไร แต่เขาก็กังวลว่าเพื่อนๆ ผู้สูงอายุคนอื่นๆ ยังเผชิญกับปัญหาการไม่มีรายได้ ยิ่งถ้าเป็น LGBTIQNA+ ที่ไม่มีลูกหลานก็ต้องพยายามมากกว่าคนอื่นๆ
“อยากให้ประเทศไทยมีบำนาญประชาชน อย่างน้อยทุกคนมีเงินเดือนละ 3,000 บาท ไว้ใช้จ่าย”
ภพพูดในฐานะที่ตัวเองเป็นทั้งผู้สูงวัย และ LGBTIQNA+ เนื่องจากเห็นว่ายังมีคนรอบตัวที่ประสบปัญหาเรื่องรายได้
บรรยากาศในตอนนี้แตกต่างจากสมัยที่ภพเป็นเด็กหรือตอนเป็นวัยรุ่นอย่างมาก ทุกวันนี้คนที่มีความหลากหลายทางเพศสามารถกล้าที่จะเป็นตัวเองมากขึ้นโดยไม่ต้องอายใคร
“ถ้าสมัยนั้นมีบรรยากาศทางสังคมแบบในปัจจุบัน เราคงใช้ชีวิตเกย์ไปเลย ใครจะว่ายังไงก็ไม่สนใจ เกย์เป็นชีวิตที่มีความสุข ทุกวันนี้เรายังคิดเลยว่า ถ้าได้เกิดชาติหน้าอีกครั้ง เราก็ยังอยากเป็นเกย์” ภพทิ้งท้าย
คบเพศเดียวกันก็มีชีวิตที่มั่นคงได้
“ทำไมไม่ชอบผู้ชาย มีคนมาชอบหน้าตาดี รวยๆ ตั้งเยอะแยะ ทำไมไม่ชอบ”
นี่คำถามที่แม่ถาม ‘ดาว’ ลูกสาวคนสุดท้อง ดาวเติบโตมาในครอบครัวคนจีน ที่มีโรงงานขนาดใหญ่ เรียกได้ว่ามีกินมีใช้ มีทุกอย่างยกเว้น ‘การยอมรับ’
ดาวนิยามตัวเองว่าเป็น ‘เลสคิง’ ที่คบหาได้ทั้งผู้หญิงและทอม ดาวรู้สึกมาตั้งแต่เด็กว่าตัวเองไม่ใช่ผู้หญิง ช่วงอายุ 16-17 ก็มีเริ่มมีแฟนเป็นผู้หญิงคนแรก แอบคบกันแบบหลบๆ ซ่อนๆ แต่พอผู้ใหญ่เริ่มสงสัยในความใกล้ชิดของทั้งคู่ เลยจับดาวและแฟนแยกกัน ซึ่งแม่ของดาวเองก็ไม่เคยยอมรับในสิ่งที่ดาวเป็นเลย
“แม่เขาไม่ยอมรับ ด่าเราว่าพวกวิปริตผิดเพศ เอาไม้ไล่ตีเลย ฟาดทั้งเราและแฟน แม่บอกว่าอย่ามาเข้าบ้านนะ ตอนนั้นเราอายุ 36 แล้ว เรากลับไปเยี่ยมแม่ แล้วเขาทำแบบนั้น”
ดาวมีผู้ชายมาชอบ แต่ดาวก็ไม่ชอบ เพราะรสนิยมของเธอไม่ใช่แบบนั้น ซึ่งการชอบผู้หญิงในสายตาของดาวไม่ได้ผิดตรงไหน แต่สำหรับแม่ของดาวมันเป็นเรื่องที่รับไม่ได้มากๆ หลังจากเหตุการณ์นี้ดาวจึงตัดสินออกจากบ้านมาทำธุรกิจของตัวเอง และขอไม่ยุ่งเกี่ยวกับครอบครัวอีก
จนเวลาผ่านไป ดาวได้มีโอกาสไปหาแม่อีกช่วงก่อนที่แม่จะเสียชีวิต ซึ่งดาวพาแฟนใหม่ไปหาด้วย แฟนคนนี้เป็นตำรวจที่มีตำแหน่งเป็นรองผู้กำกับฯ ดาวแปลกใจที่แม่ยอมรับคนนี้ได้
“แฟนคนก่อนๆ ทำงานค้าขาย มันคงดูไม่มีตำแหน่ง ไม่มีหน้าตาอะไร แม่เลยเกลียด เมื่อก่อนเขาชอบพูดว่า ‘ถ้ามีแฟนเป็นผู้ชาย ป่านนี้คงรวยไปขนาดไหนแล้ว’ พอคบกับตำรวจ แม่เลิกพูดแบบนี้เลย”
ถึงแม้ดาวจะทะเลาะกับแม่ แต่ดาวก็คิดว่าที่แม่เป็นแบบนี้ก็เพราะเป็นห่วง คนรุ่นแม่อาจไม่เคยเจอคนที่มีความหลากหลายทางเพศเยอะนัก เลยไม่รู้ว่าที่จริงแล้วกลุ่มคนหลากหลายทางเพศก็ไม่มีอะไรแตกต่างจากคนทั่วไปเลย แค่มีความรักความชอบที่ไม่ตรงขนบธรรมเนียมเดิมๆ เท่านั้น
ปัจจุบันดาวมีธุรกิจ มีบ้าน และมีเงินเก็บเพียงพอที่จะดูแลตัวเองได้ ดาวดีใจที่สามารถพิสูจน์ตัวเองให้คนอื่นเห็นว่าเป็นแบบนี้ก็มีชีวิตที่ดีได้ และดูแลตัวเองได้โดยไม่ต้องพึ่งพาคนอื่น
“ในอดีตที่สังคมยังขาดความเข้าใจเกี่ยวกับความหลากหลาย และความลื่นไหลทางเพศ ในห้วงเวลานั้น เราจึงไม่ค่อยได้ยินเสียงของกลุ่มผู้มีความหลากหลายทางเพศในอดีต และหลายคนได้หล่นหายไประหว่างทาง ในตอนนี้สังคมเริ่มให้พื้นที่มากขึ้น เราจึงได้มีโอกาสฟังเสียงจากกลุ่มความหลากหลายรุ่นใหญ่หลายคน ที่รอดมาถึงทุกวันนี้ เรื่องเล่าที่สะท้อนทั้งความสุข ความเจ็บปวดและการก้าวข้าม น่าจะเป็นเครื่องเตือนใจของสังคมว่าพวกเราเดินมาไกลเกินกว่าจะถอยกลับไปแล้ว และสังคมคงต้องช่วยกันทำงานทางความคิดของคนในสังคมเพื่อสร้างอนาคตที่สดใสและเคารพในทุกความหลากหลายต่อไป” อ.แต้วกล่าวทิ้งท้าย