“เห็นหน้าก็รู้แล้วว่าไม่ใช่คนดี” ไม่ได้รังเกียจ แต่ไม่อยากเข้าใกล้ ไม่อยากกีดกันแต่ก็สมควรแล้ว เช็กอคติที่สังคมมีต่อคน 5 กลุ่ม ถึงจะไม่รู้จักกันก็ตาม

 

เคยไหมที่แอบซุบซิบกับเพื่อนเกี่ยวกับ ‘คนแปลกหน้า’ ที่เพิ่งเดินผ่านไปว่า “เห็นหน้าก็รู้แล้วว่าไม่ใช่คนดี”
เคยไหมที่คาดหวังว่าพี่กะเทยในที่ทำงานจะ ‘ต้องเป็นตัวสร้างสีสัน’ ให้กับงานเลี้ยงบริษัท
เคยไหมที่อุดหนุนลอตเตอรี่คนตาบอด เพราะรู้สึก ‘สงสาร’

ความคิดและการกระทำเหล่านี้ล้วนมีที่มาจากสิ่งที่เรียกว่า ‘อคติ (Prejudice)’

อคติ หมายถึง ปฏิกิริยาหรือทัศนคติที่ไม่เป็นมิตรต่อคนกลุ่มหนึ่ง เนื่องมาจากการคิดว่าบุคคลนั้นมีลักษณะที่ไม่พึงประสงค์ ซึ่งอคติหล่อหลอมผ่านประสบการณ์ในชีวิต สื่อ และสภาพแวดล้อมในสังคม ทำให้เกิดการตัดสินที่คลาดเคลื่อนจากความเป็นจริง

ซึ่งอคติเป็นผลต่อเนื่องมาจาก ‘การเหมารวม (Stereotype)’ ที่เป็นความเชื่อต่อกลุ่มประชากรกลุ่มหนึ่งว่า จะมีพฤติกรรมและความคิดที่เหมือนกันๆ ผ่านการตัดสินสมาชิกจากกลุ่มประชากรนั้นเพียงไม่กี่คน หรือตัดสินจากข้อมูลที่ไม่ตรงกับความจริงเสียทั้งหมด

และปลายทางของอคติก็จะนำไปสู่ ‘การเลือกปฏิบัติ (Discrimination)’ ที่ทำให้คนบางกลุ่มถูกกีดกัน ได้สิทธิไม่เท่าผู้อื่น ภายใต้ความคิดที่ว่าคนกลุ่มนั้นสมควรได้รับการปฏิบัติที่ไม่เท่าเทียม

แต่อคติไม่ได้หมายถึงความคิดในแง่ลบเสมอไป เพราะการคิดในแง่บวกสามารถเป็นอคติได้ เช่น การมองว่าคนที่มีความหลากหลายทางเพศมีความคิดสร้างสรรค์ หรือคนพิการมีความอดทนสูงเพราะต้องสู้ชีวิตทุกวัน

‘โครงการสร้างสังคม DEE (Diversity, Equity and Empathy): ศึกษาสถานการณ์อคติต่อกลุ่มเปราะบาง
และสื่อสารเพื่อสร้างความตระหนักรู้ของสังคม (หรือ โครงการสร้างสังคม DEE)’ โดยคณะวิทยาการเรียนรู้และศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ภายใต้การสนับสนุนโดยสำนักสนับสนุนสุขภาะวะประชากรกลุ่มเฉพาะ (สำนัก9) สสส. ได้ทำการศึกษามุมมองและทัศนคติของกลุ่มประชากรทั่วไปในประเทศไทยที่มีอายุตั้งแต่ 18 ปีขึ้นไป ต่อประชากรกลุ่มเฉพาะ 5 กลุ่ม ได้แก่ ผู้สูงอายุ คนพิการ คนไร้บ้าน ประชากรข้ามชาติ และ LGBTIQAN+ ซึ่งได้ข้อสรุปที่น่าสนใจ ดังนี้

ผู้สูงอายุ

ภาพเหมารวมที่คนส่วนใหญ่มีต่อผู้สูงอายุ คือ ผู้สูงอายุเป็นกลุ่มคนที่มีความเสื่อมโทรมทางร่างกายเกิดขึ้นอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ทำให้เกิดอคติว่า ผู้สูงวัยมีข้อจำกัดในการทำสิ่งต่างๆ มากกว่าคนหนุ่มสาว

นำไปสู่การจำกัดกรอบ กีดกันผู้สูงอายุในมิติต่างๆ อาทิ รู้สึกไม่เห็นด้วยที่ผู้สูงอายุใช้โซเชียลมีเดีย เพราะคิดว่าผู้สูงอายุถูกหลอกได้ง่าย ซึ่งเป็นการมองข้ามความจริงที่ว่าไม่ว่าใครก็สามารถถูกหลอกได้ และผู้สูงอายุแต่ละคนไม่ได้มีข้อจำกัดด้านความสามารถที่เหมือนกัน

ส่วนอคติแง่บวกที่ผู้สูงวัยพบเจอ คือ การถูกมองว่าเป็นที่เคารพนับถือ และเป็นร่มโพธิ์ร่มไทรของลูกหลาน แต่ในอีกแง่มุมหนึ่ง อคติในแง่บวกนี้เป็นการแสดง ‘ความคาดหวัง’ ที่จำกัดกรอบผู้สูงอายุว่าจะต้องทำตัวแบบไหนถึงจะ ‘เหมาะสม’ และ ‘ไม่ถูกตัดสิน’ เช่น ไม่ควรสนใจเรื่องเพศ มิเช่นนั้นจะโดนต่อว่าว่าเป็นเฒ่าหัวงู

คนพิการ

‘สุขภาพร่างกายอ่อนแอ’ ‘จิตใจเปราะบาง’ ‘สู้ชีวิต’

คำนิยามเหล่านี้คืออคติเหมารวมที่ผู้ตอบแบบสอบถามส่วนใหญ่เห็นด้วยเมื่อพูดถึงผู้พิการ โดยเฉพาะประเด็นการสู้ชีวิตที่มีคนเห็นด้วยสูงถึงร้อยละ 73.22

‘การสู้ชีวิต’ เป็นอคติแง่บวกที่สะท้อนข้อกังขาและความกังวลต่อความสามารถหรือศักยภาพของคนพิการ ว่าพวกเขาไม่สามารถช่วยเหลือตัวเองได้เท่าที่ควร นำไปสู่การปฏิบัติเชิงบวกอย่างความรู้สึกอยากช่วยเหลือ ความรู้สึกสงสารและเห็นใจ และต้องการเรียกร้องสิทธิให้กับคนพิการ

แต่ในทางกลับกัน ความรู้สึกกังขาต่อความสามารถของคนพิการนำไปสู่ผลลัพธ์แง่ลบอย่างการกีดกันเช่นกัน ไม่ว่าจะเป็น ปฏิเสธการจ้างงาน หรือดูถูกว่าคนพิการไม่สามารถทำกิจกรรมเดียวกับคน ‘ปกติ’ ได้ ซึ่งเป็นการมองว่าความพิการ = ความผิดปกติ

คนไร้บ้าน

“ไม่ได้รังเกียจนะ แต่ไม่เข้าใกล้ดีกว่า”

ร้อยละ 60.7 ของผู้ตอบแบบสอบถามรู้สึก ‘กลัว’ คนไร้บ้าน โดยพวกเขาจะไม่สบายใจเมื่อต้องเดินผ่านคนไร้บ้านหรือต้องใช้พื้นที่สาธารณะร่วมกัน เช่น ระบบขนส่งสาธารณะ

ความกลัวและความไม่สบายใจที่มีต่อคนไร้บ้าน เกิดจากอคติเหมารวมที่คิดว่า คนไร้บ้านคือบุคคลอันตราย ไม่สามารถเอาแน่เอานอนได้ ไม่มีญาติมิตร และเป็นภาระสังคม เพราะเบียดเบียนพื้นที่สาธารณะในการซุกหัวนอน

และมีคนจำนวนไม่น้อยที่มีอคติว่า คนไร้บ้านคือคนขี้เกียจ ไร้ความสามารถ ทำให้คนไร้บ้านไม่ถูกจ้างงาน เมื่อไม่ถูกจ้างงาน พวกเขาก็ไม่สามารถหลุดจากการเป็นคนไร้บ้านได้ เพราะไม่มีเงินสำหรับที่อยู่อาศัย

ประชากรข้ามชาติ

ผู้ตอบแบบสอบถามมากกว่าครึ่งไม่สบายใจกับสถานการณ์ที่ประชากรข้ามชาติมีสถานะทางสังคมสูงกว่าตัวเอง เช่น เป็นเจ้านายของตัวเอง และไม่สบายใจเมื่อคนใกล้ตัวคบหาเป็นคนรักกับประชากรข้ามชาติ สะท้อนให้เห็นว่า คนส่วนใหญ่มองประชากรข้ามชาติเป็นเพียงแรงงานที่มีสถานะต่างกับตัวเองเท่านั้น

ซึ่งมิติอคติเชิงนโยบาย เป็นมิติที่ปรากฏอคติต่อกลุ่มประชากรข้ามชาติที่สุด โดยการสำรวจพบว่า ผู้ตอบแบบสอบถามร้อยละ 75 เห็นด้วยว่า “ประชากรข้ามชาติที่เข้าประเทศอย่างผิดกฎหมายควรถูกส่งกลับประเทศในทุกกรณี” และร้อยละ 74.30 เห็นด้วยว่า “รัฐควรจำกัดโควตาของประชากรข้ามชาติที่เข้ามาทำงานในไทย” ซึ่งเป็นความคิดเห็นที่ขัดแย้งกับความเป็นจริงว่า ประชากรข้ามชาติเป็นกำลังสำคัญต่อการพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศไทย

การมองว่าประชากรข้ามชาติเป็นเพียงแรงงาน ไม่ใช่เพื่อนมนุษย์ที่ทัดเทียมกับตัวเอง ตลอดจนการมองว่าพวกเขาเป็นภัยคุกคามที่เข้ามาตักตวงทรัพยากรจากประเทศไทย ทำให้เกิดความรู้สึกคัดค้าน และไม่ต้องการให้สิทธิที่เสมอภาคเท่าเทียมแก่ประชากรกลุ่มนี้

LGBTIQAN+

สำหรับประเด็นอคติเชิงลบ ตัวเลขจากแบบสอบถามชี้ว่า คนที่ไม่สบายใจต่อกลุ่ม LGBTIQAN+ น้อยกว่า 10% แต่เมื่อเป็นสถานการณ์ที่เกี่ยวข้องกับคนในครอบครัว หรือพื้นที่ส่วนตัวของตัวเอง ตัวเลขความไม่สบายเพิ่มสูงขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ อาทิ ร้อยละ 13.10 ไม่สบายใจเมื่อคนในครอบครัวเป็น LGBTIQAN+

ซึ่งเมื่อพิจารณาในมิติอคติเหมารวม ยังคงพบว่า ร้อยละ 29.65 เชื่อว่าความรักของกลุ่มผู้มีความหลากหลายทางเพศไม่มั่นคง มิหนำซ้ำ ยังคงมีการมองว่าผู้มีความหลากหลายทางเพศเป็นพวกผิดปกติ ซึ่งเห็นได้จากการนำเอาเพศสภาพหรือเพศวิถีไปใช้เป็นคำด่าเพื่อลดทอนคุณค่าในตัวอีกฝ่าย

ส่วนอคติในแง่บวกที่มีต่อกลุ่ม LGBTIQAN+ อย่างโดดเด่นคือ การเชื่อว่าประชากรกลุ่มนี้เป็นคนตลก สนุกสนาน และเป็นตัวสร้างสีสัน ซึ่งหากมองเพียงผิวเผินจะไม่พบผลกระทบอะไร แต่เมื่อมองลึกลงไป อคติเชิงบวกนี้เป็นการคาดหวังที่เรียกร้องให้ LGBTIQAN+ ทุกคนมีพฤติกรรมดังกล่าว แม้จะขัดต่ออุปนิสัยของตัวเองก็ตาม ซึ่งอาจทำให้เกิดผลกระทบทางสังคมและจิตใจต่อบุคคลที่มีความหลากหลายทางเพศได้

นอกจากนี้ สำหรับประเด็นอคติเชิงนโยบาย แม้ว่าจะมีกลุ่มผู้ตอบแบบสอบถามเพียง 6.42% เท่านั้นที่ไม่เห็นด้วยกับนโยบายเพื่อความเท่าเทียมทางเพศอย่างสมรสเท่าเทียม หรือสิทธิในการรับบุตรบุญธรรม แต่เมื่อสอบถามเกี่ยวกับสิทธิในการเปลี่ยนคำนำหน้านาม และสิทธิในการเลือกเพศในเอกสารราชการ กลับมีผู้ไม่เห็นด้วยเพิ่มมากขึ้นประมาณ

สะท้อนให้เห็นว่า อคติที่มีต่อ LGBTIQA+ ทำให้ประชากรกลุ่มนี้ถูกยอมรับอย่างมีข้อจำกัด

อ้างอิง :

รายงานวิจัยโครงการสร้างสังคม DEE (Diversity, Equity and Empathy): ศึกษาสถานการณ์อคติต่อกลุ่มเปราะบางและสื่อสารเพื่อสร้างความตระหนักรู้ของสังคม (หรือ โครงการสร้างสังคม DEE) โดยคณะวิทยาการเรียนรู้และศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์

Shares:
QR Code :
QR Code