แดนหญิง : เรื่องราวการสร้างคนอีกครั้งหลังกำแพง ด้วยแนวคิด ‘เรือนจำสุขภาวะ’

ในปี 2550 ระบบยุติธรรมทางอาญาโลกเผชิญกับปรากฏการณ์ที่เรียกว่า ‘คนล้นคุก’ หรือการเพิ่มขึ้นจำนวนมากของผู้ต้องขังในนานาประเทศ ทำให้บางประเทศอย่างสหรัฐอเมริการรับมือโดยการสร้างพื้นที่คุมขังขนาดใหญ่ในลักษณะคอมเพล็กซ์ (panel complex) เพื่อเป็นพื้นที่ของ ‘การลงโทษ’ เพราะแม้พื้นที่คุมขังจะมีขนาดใหญ่ แต่ไม่มีสถานศึกษา สถานฝึกงาน หรือแม้กระทั่งสถานพยาบาล มิหนำซ้ำยังอยู่ห่างไกลจากตัวเมือง

อีก 1 ตัวเลขที่น่าสนใจในปรากฏการณ์นี้ คือ จำนวนผู้ต้องขังหญิงที่เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ สำหรับประเทศไทยในช่วงปีเดียวกัน จำนวนผู้ต้องขังหญิงที่เพิ่มมากขึ้นมีอัตราเฉลี่ยที่สูงกว่าประเทศอื่นอย่างเห็นได้ชัด โดยข้อมูลจากกรมราชทัณฑ์ระบุว่า ปี 2553 ประเทศไทยมีผู้ต้องขังหญิงทั้งหมด 30,570 คน จากผู้ต้องขังทั้งหมด 215,939 คน คิดเป็นร้อยละ 15 ของผู้ต้องขังทั้งหมด ส่วนเดือนมิถุนายน 2568 มีผู้ต้องขังหญิง 36,595 คน จากทั้งหมด 291,911 คน โดยดร.นัทธี จิตสว่าง อดีตอธิบดีกรมราชทัณฑ์และที่ปรึกษาพิเศษที่โอเจ เผยว่าคดีกว่า 90% เป็นคดีที่เกี่ยวข้องกับยาเสพติด เพราะผู้ต้องขังเผชิญกับปัญหาทางเศรษฐกิจและภาระครอบครัวที่บีบบังคับให้กลายเป็นผู้ค้ารายย่อย เพื่อหาเงินเลี้ยงดูตัวเองและครอบครัว

ซึ่งเรือนจำเกือบทั้งหมด ณ ขณะนั้นไม่มีสถานที่ เครื่องมือ หรืออุปกรณ์ที่จำเป็นต่อผู้หญิงที่ตั้งครรภ์ และสุขภาพอนามัยทั่วไปของเพศหญิง ทั้งที่ผู้ต้องขังบางคนกำลังตั้งครรภ์ อยู่ในระหว่างให้นมบุตร หรือจำเป็นต้องดูแลลูกเล็กแต่ต้องเข้ามาอยู่ในเรือนจำ

สาเหตุที่ทำให้เรือนจำที่ไม่ใช่ทัณฑสถานหญิงโดยเฉพาะซึ่งมีจำนวนอยู่น้อยมีลักษณะไม่เอื้อต่อเพศหญิงเป็นเพราะตั้งแต่เริ่มเรือนจำถูกออกแบบมาเพื่อรองรับนักโทษชายเท่านั้น แต่พอเวลาผ่านไป สภาพสังคมเปลี่ยนแปลงจำนวนนักโทษหญิงมากขึ้นจึงต้องแบ่งเขตที่มีอยู่จำกัด สร้างพื้นที่ที่ให้ผู้ต้องขังหญิงอยู่ ภายใต้ชื่อ ‘แดนหญิง’

ผู้ต้องขังหญิงจะไม่สามารถใช้พื้นที่การศึกษา พื้นที่ทำงาน หรือพื้นที่ออกกำลังกายเหมือนผู้ต้องขังชายได้ เพราะพื้นที่กิจกรรมเหล่านั้นอยู่ในแดนชาย ผู้หญิงไม่สามารถเข้าไปได้ ทำให้เกิดความทรมานทั้งร่างกายและจิตใจต่อผู้ต้องขังหญิงเป็นอย่างมาก โดยเฉพาะกลุ่มที่เป็น ‘แม่’

องค์การสหประชาชาติ (United Nations : UN) จึงได้ลงมติให้การรับรอง ‘ข้อกำหนดสหประชาชาติว่าด้วยการปฏิบัติต่อผู้ต้องขังหญิงในเรือนจำและมาตรการที่มีใช่การคุมขังสำหรับ ผู้กระทำผิดหญิง’ หรือเรียกสั้น ๆ ว่า ‘ข้อกำหนดกรุงเทพ (Bangkok Rules)’ ในวันที่ 21 ธันวาคม 2553 เพื่อยกระดับมาตรฐานในการปฏิบัติต่อผู้ต้องขังหญิงในประเทศต่างๆ โดยเฉพาะการปฏิบัติที่ต้องมีความไวต่อสภาวะของความเป็นเพศหญิง (gender sensitivity) ซึ่งรวมถึงสุขภาพอนามัยทางร่างกาย การตั้งครรภ์ การคลอด รวมถึงความวิตกกังวลต่อผู้ที่ตนเองต้องรับผิดชอบเลี้ยงดู เช่น พ่อแม่ที่ช่วยตัวเองไม่ได้ หรือลูกที่ยังเล็ก

ทำให้ต่อมาในปี 2556 สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) ได้สนับสนุนการดำเนินงาน เพื่อสร้างความรู้และนวัตกรรมสนับสนุนและส่งเสริมการดูแลสุขภาวะของผู้ต้องขังกายใต้หลักการ สุขภาวะเพื่อคนทั้งมวล (Health for All) เพื่อสื่อสารกับสังคมและภาครัฐถึงแนวทางที่จำเป็นต่อการพัฒนาเรือนจำให้เป็นพื้นที่ที่ช่วยให้ผู้ต้องขังมีวิถีชีวิตที่ดีและได้รับการบริการทางด้านสุขภาพที่เหมาะสม โดยเริ่มจากกลุ่มผู้ต้องขังหญิงก่อน แล้วจึงขยายไปยังกลุ่มผู้ต้องขังชายและผู้ต้องขังกลุ่มหลากหลายทางเพศ ภายใต้กรอบแนวคิดที่มีชื่อว่า ‘เรือนจำสุขภาวะ’

เปลี่ยนจากการลงโทษเป็นการฟื้นฟู ด้วยแนวคิดของเรือนจำสุขภาวะ

“ผู้ต้องขังต้องนอนตะแคงตัว ไม่สามารถนอนหงายได้ และมีการนอนหันเท้าชนกันในลักษณะของการเสียบขาให้สามารถนอนได้จำนวนมากขึ้น หากใครนอนดิ้นก็จะถูกรังเกียจหรือถูกต่อว่าจากเพื่อนร่วมห้องนอนได้ หรือหากลุกขึ้นไปเข้าส้วมก็จะทำให้ที่นอนหายได้ เพราะจะถูกคนอื่นขยายพื้นที่การนอนออกมา”

ข้อความข้างต้นนี้ เป็นส่วนหนึ่งของหนังสือชีวิตที่ถูกลืม เรื่องเล่าของผู้หญิงในเรือนจำ ที่เล่าเรื่องปัญหาที่พบในเรือนจำของผู้ต้องขังหญิง

ซึ่งนอกจากพื้นที่ที่ถูกจำกัดแล้ว สิ่งที่ผู้ต้องขังหญิงต้องเผชิญไม่ต่างหรืออาจจะรุนแรงกว่าผู้ต้องขังชาย คือ การสูญเสียความตระหนักในศักดิ์ศรีและคุณค่าของตัวเอง และใช้ชีวิตไปวันๆ พอพ้นโทษก็ไม่มีเป้าหมายในชีวิต จนอาจนำไปสู่การกระทำผิดซ้ำและกลับมาเป็นผู้ต้องขัง

โดยการสูญเสียเหล่านี้มาจากการถูกจำคุก เพราะคำว่า ‘ถูกจำคุก’ มีความหมายใกล้เคียงกับคำว่า ‘การถูกกีดกัน (Deprivation)’ เพราะเป็นการผลักคนคนหนึ่งออกจากสิ่งที่มีคุณค่าและมีความหมายต่อความเป็นมนุษย์ ทำให้เกิดผลลบต่อร่างกายและจิตใจ ของคนคนนั้น

ซึ่งการถูกจำคุกทำให้ผู้ต้องขังต้องรับสถานะ ‘นักโทษ’ อย่างจำยอม ต้องทำกิจกรรมต่างๆ ตามตารางเวลาและกฎเกณฑ์ที่วางไว้อย่างเคร่งครัด แม้จะไม่อยากทำหรือไม่เต็มใจ ก็ต้องเชื่อฟังโดยไม่ขัดขืน ส่งผลให้ผู้ต้องขังสูญเสียการตระหนักในศักดิ์ศรีและคุณค่าของตัวเอง และใช้ชีวิตไปวันๆ พอพ้นโทษก็ไม่มีเป้าหมายในชีวิต จนอาจนำไปสู่การกระทำผิดซ้ำและกลับมาเป็นผู้ต้องขัง

“หลังจากออกไปครั้งแรกประมาณ 12 เดือน เราก็กลับเข้ามาอีกรอบที่ 2 พอออกไปประมาณ 2 ปีกว่า เราก็กลับเข้ามาอีกเป็นครั้งที่ 3” ผู้ต้องขังรายหนึ่งกล่าว

เพราะฉะนั้น​​หลักการสำคัญของเรือนจำสุขภาวะ คือ กระบวนการฟื้นฟูผู้ต้องขังที่ต้องบูรณาการเข้าไปในวิถีการดำรงชีวิตตลอดทั้ง 24 ชั่วโมงในเรือนจำ และพยายามสร้างความปกติให้กับชีวิตในเรือนจำ (normalization) ให้ต่างกับชีวิตในสังคมทั่วไปน้อยที่สุด ซึ่งเป็นการเตรียมความพร้อมให้เมื่อถึงเวลาที่ออกจากหลังกำแพง ผู้ต้องขังไม่จำเป็นต้องเข้าสู่กระบวนการคืนกลับสู่สังคม (reintegration) อีกครั้ง

ทั้งนี้ เงื่อนไขสำคัญของเรือนจำสุขภาวะ คือ ต้องตระหนักว่าเรือนจำเป็นพื้นที่ (setting) ที่มีลักษณะเฉพาะที่ต้องตอบสนองต่อการใช้ชีวิตของผู้ต้องขังในทุกๆ ด้าน ต่างกับสถาบันอื่นของสังคมอย่างโรงเรียน ที่ตอบสนองแค่ด้านการศึกษา เพราะถ้าเรือนจำไม่จัดสรรสิ่งจำเป็นให้ผู้ต้องขัง ผู้ต้องขังก็ไม่สามารถดำรงชีวิตอยู่ได้

กิจกรรมที่ทุกคนมีส่วนร่วมและเข้าใจ

เรือนจำแต่ละประเทศมีกิจกรรมในเรือนจำที่แตกต่างกันไป แต่เมื่อข้อกำหนดกรุงเทพถูกใช้งานทั่วโลก เรือนจำจึงต้องมีการปรับเพิ่มกิจกรรมให้เหมาะสมกับผู้ต้องขังหญิงมากขึ้น

ในสาธารณรัฐโซมาลีแลนด์ ผู้ต้องขังหญิงในเรือนจำกาบิเลย์ (Gabiley) จะได้รับการอบรมทักษะการตัดเย็บเสื้อผ้าผ่านโครงการกฎหมายร่วม (Joint Rule of Law Programme – JROLP) ที่ได้รับทุนสนับสนุนจากสหภาพยุโรปและรัฐบาลสวีเดน ซึ่งเป็นโครงการที่มีเป้าหมายเพื่อเน้นการฟื้นฟูและส่งเสริมการกลับเข้าสู่สังคมของผู้ต้องขังหญิง

โดยภายในโครงการจะมีการจ้างวิทยากรซึ่งเป็นคนในพื้นที่มาสอนตัดเย็บเสื้อผ้าในเรือนจำ โดยผู้ต้องขังสามารถเข้าร่วมได้ทุกคน และเมื่อภายในชุมชนมีงานสำคัญ เช่น จัดขบวนพาเหรด ผู้ต้องขังหญิงก็จะมีส่วนร่วมในการตัดเย็บเสื้อผ้าในขบวน ทำให้พวกเขาเกิดความภาคภูมิใจในตัวเอง รูัสึกมีเป้าหมายในชีวิต และรู้สึกเป็นส่วนหนึ่งของชุมชน ส่วนคนในชุมชนก็จะเกิดการยอมรับและรู้สึกอคติต่อผู้ต้องขังเหล่านี้น้อยลง

ส่วนเรือนจำ Riverside Correctional Facility ในเมืองฟิลาเดลเฟีย สหรัญอเมริกา มีการจัดกิจกรรมออกกำลังกายที่เหมือนยกเอาฟิตเนสกับเทรนเนอร์มาไว้ในเรือนจำ นั่นก็คือ กิจกรรมชั้นเรียนปั่นจักรยาน ที่จัดโดย Gearing Up องค์กรไม่แสวงหากำไรที่จัดขึ้นเพื่อให้ผู้หญิงในช่วงเปลี่ยนผ่านจากการติดยาและแอลกอฮอล์ ความรุนแรงในครอบครัว หรือคนไร้บ้านด้วยทักษะ อุปกรณ์ และคําแนะนําที่จําเป็นในการขี่จักรยาน

โดยกิจกรรมนี้ริเริ่มมาจากตัว Gearing Up ที่เข้าไปเสนอโครงการเพราะพบเจอว่าผู้ต้องขังหญิงหลายรายประสบปัญหาน้ำหนักขึ้นมากเกินไปจนเสี่ยงต่อปัญหาสุขภาพ และการถูกคุมขังส่งผลต่อสภาพจิตใจของพวกเธอ การปั่นจักรยานในที่ร่มจึงเกิดขึ้นในเรือนจำเพื่อช่วยให้ผู้ต้องขังหญิงได้ระบายอารมณ์ผ่านการออกกำลังกาย และได้ลดน้ำหนักไปในเวลาเดียวกัน

สำหรับประเทศในในปัจจุบัน หนังสือ 10 ปีเรือนจำสุขภาวะ: จากคนล้นคุก สู่คุกสร้างคน ระบุว่า กิจกรรมในเรือนจำแบ่งออกเป็น 4 หัวข้อใหญ่ด้วยกัน ได้แก่

(1) กิจกรรมเพื่อการดูแลสุขภาพแบบองค์รวม อาทิ โยคะในเรือนจำ
(2) การสร้างพื้นที่สีเขียวในแดนผู้ต้องขัง (green prison)
(3) การเข้าถึงการบริการทันตสุขภาพ
(4) กิจกรรมการใช้เวลาในตอนกลางวัน เพื่อพัฒนาผลิตภัณฑ์ซึ่งเป็นผลงานสร้างสรรค์ ซึ่งเป็นการทำงานที่สร้างความกระตือรือร้นให้กับผู้ต้องขัง

ซึ่งนอกจากจำนวนกิจกรรมที่มากขึ้นกว่าเมื่อก่อน สิ่งที่แตกต่างออกไป คือ เกิดกระบวนการมีส่วนร่วมของหลายฝ่ายที่เกี่ยวข้องตั้งแต่ขั้นตอนการวางแผนจนไปถึงการสรุปผลในแต่ละครั้งเพื่อพัฒนาให้กิจกรรมต่างๆ ดีขึ้น ภายใต้หลักการของการเรียนรู้ร่วมกัน

ส่วนผู้ต้องขัง จากเดิมที่เคยชินกับการทำทุกอย่างตามคำสั่งที่ได้รับ ก็จะได้เข้ามามีส่วนร่วมในการบอกกล่าวว่าตัวเองชอบทำกิจกรรมอะไร อยากทำกิจกรรมพัฒนาทักษะอะไรเพิ่มเติม และสามารถเลือกได้ว่าจะเข้าร่วมกิจกรรมหรือไม่ พร้อมสามารถพูดคุย ปรึกษาวิทยากรได้อย่างอิสระ ไม่จำเป็นต้องนั่งเงียบทำกิจกรรมให้จบๆ ไป กิจกรรมที่เกิดขึ้นจึงมีความหลากหลายและเพียงต่อที่จะเปิดโอกาสให้ผู้ต้องขังทุกคนได้เปลี่ยนแปลงตัวเองให้ดีขึ้นในมิติต่างๆ ตามแนวคิดของเรือนจำสุขภาวะ

พบเจอเพื่อฟังเรื่องราว คือ กุญแจในการออกสู่สังคม

การที่ผู้ต้องขังอยู่ในพื้นที่เรือนจำ ทำให้พวกเขามีฐานะเป็นคนชายขอบที่ถูกกันออกไปจากสังคม เพราะผู้ต้องขังแทบจะไม่มีปฏิสัมพันธ์โดยตรงกับคนในสังคม ยกเว้นสมาชิกในครอบครัวหรือญาติที่มาเยี่ยมชั่วครั้งชั่วคราว หรืออาจได้พบวิทยากรภายนอกที่เข้ามาทำกิจกรรมในเรือนจำภายใต้เงื่อนไขที่เรือนจำกำหนด ส่วนการจะรับข่าวสารความเป็นไปของโลกภายนอกก็มีข้อจำกัดเช่นกัน อาทิ ให้ดูเฉพาะบันทึกรายการที่ผ่านการกลั่นกรองจากเจ้าหน้าที่เท่านั้น

แน่นอนว่าสิ่งที่ผู้ต้องขังเฝ้ารอ คือ วันที่จะได้ออกจากกำแพงเพื่อไปใช้ชีวิตในโลกภายนอก เพียงแต่การออกจากเรือนจำเป็นประตูบานแรกเท่านั้น เพราะผู้พ้นโทษจำนวนมากยังต้องเผชิญกับอคติที่คนในสังคมมีต่อพวกเขา เช่น การหางานยาก หรือไม่ได้รับความไว้วางใจเพราะเคยเป็นผู้ต้องขังมาก่อน ทำให้อคติกลายเป็นกำแพงที่กีดกันพวกเขาจากสังคมทั่วไปอยู่ดี

อคติเหล่านี้เกิดขึ้นจากภาพจำที่เกี่ยวข้องกับเรือนจำว่าเป็นพื้นที่อันตราย อโคจร และภาพเหมารวมเชิงลบว่าผู้ต้องขังล้วนเป็นอาชญากร เป็นคนไม่ดี ไม่ควรเข้าหา ทำให้คนในสังคมส่วนมากมีปฏิกิริยาในทางลบต่อผู้ต้องขังและผู้เคยเป็นผู้ต้องขัง โดยเฉพาะการมองว่าผู้ต้องขังมีสถานะต่ำต้อยกว่าคนทั่วไป เกิดการตีตรา (Stigma) ผู้ต้องขังและผู้เคยเป็นผู้ต้องขัง ส่งผลให้ผู้ต้องขังตีตราตัวเองว่าตัวเองเป็น ‘คนคุก’ ที่แตกต่างและด้อยกว่าคนอื่นในสังคม

เพื่อทำให้คนในสังคมรู้เท่าทันและลดอคติ จึงได้นำเรื่องราวของเรือนจำออกสู่พื้นที่สาธารณะเพื่อสร้างความรู้และความเข้าใจให้กับสาธารณชนว่า ผู้ที่เข้ามาอยู่ในเรือนจำเป็นผู้ที่เคยผิดพลาดทำผิดกฎหมายบ้านเมืองทั้งโดยตั้งใจและไม่ตั้งใจ ไม่ควรมองว่าการจำคุกว่าต้องทำให้บุคคลทุกข์ทรมาน หรือมองการลงโทษว่าเป็นการแก้แค้น และมีผู้ที่อยู่ในเรือนจำหลายคนที่เมื่อเข้ามาแล้วความมุ่งมั่นและความปรารถนาที่จะสร้างสรรค์ตนเองให้เป็นคนที่มีคุณภาพ เป็นคนที่จะไม่กลับไปทำผิดเหมือนในอดีต ผ่านกิจกรรมต่างๆ เช่น การจัดนิทรรศการแสดงผลงานศิลปะจากหลังกำแพง หรือ การเปิดเวทีพูดคุยแบ่งปันประสบการณ์จากโลกหลังกำแพง

วันที่ 19 มิถุนายน 2568 ภายในงานประชุมวิชาการและแลกเปลี่ยนรู้ เสียงที่คนอื่นไม่ได้ยิน : ประชากรกลุ่มเฉพาะ ครั้งที่ 3 (3rd Voice of the voiceless : the vulnerable populations) “รวมพลังหุ้นส่วนสุขภาวะ ก้าวไปด้วยกันอย่างเท่าเทียม” จะมีการแบ่งปันเรื่องราวจากโลกหลังกำแพงซึ่งจะบอกเล่าเรื่องราวและแลกเปลี่ยนชีวิตในเรือนจำซึ่งต่างจากเรื่องเล่ากระแสหลักที่ทำให้ผู้คนได้ใช้กุญแจของอคติได้ผลักให้ผู้พ้นโทษจำนวนมากต้องซ่อนเร้นตัวเองอยู่ในมุมมืด สามารถติดตามรายละเอียดได้ที่ https://section09.thaihealth.or.th/voiceofthevoiceless3rd/

อ้างอิง

Shares:
QR Code :
QR Code