กลุ่มชาติพันธุ์กับป่า รักษาวิถีชีวิตคู่กันได้อย่างไรในภาวะ PM2.5

กลุ่มชาติพันธุ์กับป่า รักษาวิถีชีวิตคู่กันได้อย่างไรในภาวะ PM2.5

กลุ่มชาติพันธุ์กับป่า รักษาวิถีชีวิตคู่กันได้อย่างไรในภาวะ PM2.5

.
เป็นประจำในทุกช่วงเดือนเมษายน – พฤษภาคม ที่ปัญหาของไฟป่าในภาคเหนือจะถูกหยิบยกมาพูดถึง และมันก็จะหายไป ก่อนที่จะกลับมาถูกพูดถึงใหม่อีกครั้งในปีต่อไป ซึ่งจำเลยทางสังคมในหลายครั้งจะถูกโทษไปที่กลุ่มชาติพันธุ์ที่อนยู่อาศัยตามที่ราบสูง โดยเฉพาะมองว้าเกิดจากการทำไร่หมุนเวียน แล้วพวกเขาเหล่านี้เป็นจำเลยจริงหรือไม่ รัฐก็พยายามจะเข้ามาควบคุมไฟป่าแบบเหมารวม ลองทำความเข้าใจในเชิงวัฒนธรรมเพื่อความสัมพันธ์อันดีในสังคม
.
จากการศึกษาของโครงการวิจัยความมั่นคงทางอหารและสุขภาวะสังคม ที่ได้รับการสนับสนุนจาก สสส. พบว่ากลุ่มชาติพันธุ์กะเหรี่ยง นั้นมีความผูกพันกับพิธีกรรมเกี่ยวกับไฟมาอย่างช้านานและมีชุดความคิดความเชื่อของตัวเอง “เม่อู” หรือไฟ ตามความเชื่อของกะเหรี่ยงนั้นถือเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่ให้ทั้งคุณและโทษ โดยลักษณะบ้านของชชาวกะเหรี่ยงจะมีห้องที่ใช้เพื่อก่อหรือสุ่มไฟ และพวกเขามีการจัดการความรู้เกี่ยวกับไฟค่อนข้างเป็นระบบ
.
เมื่อปี 2563 สภาลมหายใจ จังหวัดเชียงใหม่ จัดเวทีเสวนาออนไลน์ในหัวข้อ “ชุมชนชาติพันธุ์กับการจัดการฝุ่นควัน ในสถานการณ์โควิด” โดยมีผู้แทนชุมชนกลุ่มชาติพันธุ์ 5 พื้นที่ร่วมสะท้อนปัญหาและข้อเสนอแนะ ว่าแท้จริงแล้วบทบาทของกลุ่มชาติพันธุ์ที่สำคัญอย่างหนึ่งก็คือการช่วยเฝ้าระวังไฟป่า บัญชา มุแฮ ชุมชนดอยช้างป่าแป๋ อ.บ้านโฮ่ง จ.ลำพูน เสนอว่ากลุ่มชาติพันธุ์มีความผูกพันกับป่า และจะเห็นความเปลี่ยนแปลงก่อน โดยปัจจุบันได้มีการนำเทคโนโลยีเข้ามาช่วยในการบริหารจัดการด้วย
.
บัญชา กล่าวว่า “ทุกวันนี้ชาวบ้านจะเลี้ยงวัวเลี้ยงควาย ไปหาของป่าอยู่แล้ว เขาก็จะไปสังเกตว่ามีไฟขึ้นตรงไหน พอมีไฟขึ้นเขาก็จะบอกกล่าวรายงาน ส่วนเยาวชนเราใช้โดรนบินขึ้นไปดูว่ามีควันไฟตรงไหน ถ้าทราบพิกัดแล้วน้องเยาวชนจะเป็นม้าเร็วไปสำรวจในพื้นที่ว่าอยู่ห่างจากแนวกันไฟแค่ไหน อยู่ในเขตแนวกันไฟชั้นนอกหรือชั้นใน” ปัจจุบันชุมชนดูแลพื้นที่ป่า 21,034 ไร่ ทำแนวกันไฟ 30 กิโลเมตร
.
แล้วไฟป่าทุกวันนี้มาจากไร่หมุนเวียน หรือไร่เลื่อนลอยใช่ไหม? อาจจะมีแต่ไม่ได้เป็นส่วนมาก ปัจจุบันหลายพื้นที่ที่ราบสูงลดจำนวนการปลูกไร่หมุนเวียน ไปปลูกพืชเศรษฐกิจสร้างรายได้อย่างเช่น ข้าวโพด เป็นต้น นพ.รังสฤษฎ์ กาญจนะวณิชย์ นักอนุรักษ์เจ้าของรางวัลลูกโลกสีเขียว ให้สัมภาษณ์กับ The Standard ว่าโดยปกติแล้วไฟป่าทางภาคเหนือ มักจะเกิดในป่าที่ปรับตัวกับไฟได้ คือพื้นที่ในป่าเต็งรัง ซึ่งเป็นป่าที่ปรับตัวจากการใช้ไฟของมนุษย์
.
โดยเฉพาะในช่วง 3 ปีกหลัง นพ.รังสฤษฎ์ให้ความเห็นว่าช่วงหลังจะมีการเกิดไฟไหม้ป่า นอกพื้นที่ที่ปกติเกิดเป็นประจำและมีแนวกันไฟที่ชัดเจน และเชื่อได้ว่าไม่ได้มาจากการหาของป่าจากชาวบ้านหรือการเผาไร่ที่มักจะเกินในพื้นที่เดิม ๆ ปรากฏการณ์ดังกล่าวนำไปสู่นโยบายประกาศให้ ‘การแก้ไขปัญหามลพิษด้านฝุ่นละออง’ เป็นวาระแห่งชาติ ตั้งแต่เมื่อวันที่ 12 กุมภาพันธ์ 2562 โดยออกมาตรการทั้งระยะสั้น ระยะกลาง ระยะยาว หนึ่งในนั้นคือมาตรการ ‘ห้ามเผา’ ให้แต่ละจังหวัดนำไปบังคับใช้ในพื้นที่ แต่ดูเหมือนสถานการณ์ด้านฝุ่นควันในรอบปีที่ผ่านมากลับยังไม่ดีขึ้นเท่าไรนัก
.
การแก้ปัญหาแบบเหมารวมโดยการห้ามเผาทุกพื้นที่นั้นไปกระทบกับวิถีชีวิตดั้งเดิมของกลุ่มชาติพันธุ์ที่อยู่กับไฟ ใช้ไฟ และควบคุมไฟซึ่งปกติ ความเป็นจริงแล้ว ธรรมชาติของป่าผลัดใบ ป่าเบญจพรรณ และป่าเต็งรัง ต้องมีไฟป่าเกิดขึ้นเป็นธรรมดาอยู่แล้ว รวมถึงการผลิตของชุมชนที่อยู่บนดอยบางส่วน จำเป็นต้องเผาเพื่อการทำไร่หมุนเวียน เป็นการเผาในลักษณะเพื่อการยังชีพ แทนที่จะมุ่งเน้นการแก้ปัญหาไปยังพื้นที่ที่ปกติไม่เคยเกิดไฟป่าแต่เพิ่งจะมาเกิดในช่วงหลัง ทำให้เกิดการแอบเผา แอบจุดไฟ บางครั้งชาวบ้านอยากจุดแค่เฉพาะไร่ตัวเองก็จุดไม่ได้ ต้องออกไปจุดจากที่ไกลๆ ให้ลามมาถึงไร่ของตัวเอง ยิ่งทำให้เกิดไฟป่าได้ง่ายขึ้น
.
ดังนั้น การดำเนินนโยบายเรื่องแก้ปัญหาไฟป่าและฝุ่น PM2.5 นั้นควรคำนึงถึงวิถีของชาติพันธุ์ และแก้ปัญหาให้ตรงจุดโดยเฉพาะกลุ่มเกษตรอุตสาหกรรมขนาดใหญ่ที่ต้องควบคุมอย่างชัดเจน ไม่เช่นนั้นจะกลายเป็นทำลายวิถีชาติพันธุ์ และทำให้พวกเขาต้องหันไปพึ่งพาสารเคมีกำจัดศัตรูพืชในการจัดการพื้นที่ไร่หมุนเวียนเสียอีก และยังกระทบกับความมั่นคงทางอาหารของกลุ่มชาติพันธุ์อีกด้วย
.
#ไฟป่า    #กลุ่มชาติพันธุ์    #PM2.5

 

เเหล่งที่มา        https://www.facebook.com/curiouspeople.me

Shares:
QR Code :
QR Code

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ระบุข้อความ